1 มิ.ย. 2568 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กล่าวว่า ประเทศไทยสามารถลดข้อจำกัดงบประมาณและเพดานหนี้สาธารณะผ่านการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ภายใต้ระบบ PPP ได้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่มีความจำเป็นในการยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจให้สูงขึ้น ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะปานกลางและระยะยาว
งบประมาณปี 2569 ที่ผ่านรัฐสภาวาระแรก ยังมีสัดส่วนของงบลงทุนเพียงแค่ 22.9% ของวงเงินงบประมาณคิดเป็นเพียง 8.64 แสนล้านบาทเท่านั้น จึงจำเป็นต้องหาแหล่งทุนเพื่อการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เพิ่มเติม ที่ผ่านมาโดยเฉลี่ยแล้ว งบประมาณรายจ่ายประจำปีของรัฐบาลจะมีงบลงทุนอยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 20% คิดเป็นเม็ดเงิน 6-7 แสนล้านบาทโดยเฉลี่ย ไม่เพียงพอต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เผชิญกับผลกระทบสงครามการค้าและมีโอกาสเติบโตต่ำกว่า 2%
ขณะที่เม็ดเงินรายได้จากรัฐวิสาหกิจก็ไม่เพียงพอต่อการพัฒนาและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ การกู้เงินหรือก่อหนี้สาธารณะเพิ่มเติมก็มีเพดานไม่เกิน 70% ของจีดีพี การจะนำเอารัฐวิสาหกิจระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ หรือ ออกกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มเติม บรรยากาศการลงทุนในตลาดการเงินในขณะนี้ก็ไม่เป็นใจนัก การผลักดันการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ผ่านระบบ PPP (Public Private Partnership) หรือ การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน จึงเป็นทางออกสำหรับการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ภายใต้ข้อจำกัดทางการคลัง
จากการสำรวจข้อมูลพบว่า ระหว่างปี พ.ศ. 2563-2570 มีโครงการร่วมลงทุนทั้งหมดประมาณ 138 โครงการ มีเม็ดเงินลงทุนประมาณ 917,677 ล้านบาท แบ่งออกเป็น โครงการ High Priority 421,762 ล้านบาท ทั้งหมด 22 โครงการ โครงการ PPP Initiative 280,481 ล้านบาท ทั้งหมด 88 โครงการ โครงการ Normal 215,434 ล้านบาท ทั้งหมด 28 โครงการ โครงการ PPP เหล่านี้มีทั้งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และ มีหลายโครงการก็เกิดปัญหาและอุปสรรค
โดยปัจจัยที่ทำให้โครงการ PPP ประสบความสำเร็จ ประกอบไปด้วย การจัดทำโครงการที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐและเอกชน (Partnership) อย่างแท้จริง โดยมีการจัดสรรผลประโยชน์และความเสี่ยงอย่างเป็นธรรม ต้องมีกรอบนโยบายจากรัฐชัดเจน รัฐบาลต้องมีเสถียรภาพและมีความต่อเนื่อง โครงการต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีการแข่งขันของเอกชนในชั้นประมูลอย่างเป็นธรรม ไม่มีการฮั้วกัน โครงการเหล่านี้ก็จะลดต้นทุนของรัฐ ลดภาระทางการคลัง และ ได้ประโยชน์จากความรู้ความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมจากเอกชนมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้
“ขณะเดียวกัน โครงการ PPP หลายโครงการเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงาน เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ ทำให้เกิดความล่าช้า ข้อจำกัดในทางปฏิบัติ ขณะที่หลายโครงการจำเป็นต้องมีการตรวจสอบความโปร่งใส ความเสี่ยงและการแบ่งปันผลประโยชน์ว่าเป็นธรรมหรือไม่ โดยเฉพาะผลประโยชน์ต่อสาธารณชน การนำข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) มาปรับใช้กับขั้นตอนการคัดเลือกเอกชนอาจช่วยป้องกันประโยชน์ของสาธารณชนได้บ้าง” รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าว
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า การผ่อนคลายกฎระเบียบจะช่วยลดต้นทุนธุรกิจ ทบทวนกระบวนการอนุมัติอนุญาตที่ไม่จำเป็นลงมาให้มากที่สุดทำให้ความสามารถในแข่งขันของเศรษฐกิจและธุรกิจไทยดีขึ้น จากงานศึกษาวิจัยพบว่า รัฐบาลสามารถยกเลิกหรือแก้ไขกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นกว่า 1,000 กระบวนงาน กระบวนงาน กฎระเบียบขั้นตอนมากมายเหล่านี้ทำให้เกิดต้นทุนให้กับประชาชนและภาคธุรกิจประมาณ 2 แสนล้านบาทต่อปี
การผ่อนคลายกฎระเบียบและยกเลิกขั้นตอนที่ไม่จำเป็นจะทำให้ ภาคเอกชนสามารถประหยัดต้นทุนได้ประมาณ 1.3 แสนล้านบาทต่อปี ที่สำคัญ การทบทวนยกเลิกกฎระเบียบเหล่านี้ รัฐบาลไม่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากมาใช้ในมาตรการแต่อย่างใด อนึ่ง แม้นการส่งออกไทยในไตรมาสแรกมีมูลค่าสูงถึง 81,532 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 15.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีที่แล้ว แต่น่าสังเกตว่า จีดีพีการผลิตอุตสาหกรรมไตรมาสแรกขยายตัวเพียง 0.6% ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงชะลอตัวลง
อัตราการใช้กำลังการผลิตของบางอุตสาหกรรมส่งออกยังคงต่ำว่า 60% จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ตัวเลขส่งออกนั้นดีกว่าความเป็นจริงอันเป็นผลจากการสวมสิทธิการส่งออก สินค้าจากต่างประเทศเข้ามาสวมสิทธิไทยในการส่งออกสะท้อนการบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ ต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและจริงจัง ขณะเดียวกัน กลุ่มอุตสาหกรรมของไทยยังเผชิญกับปัญหาสินค้าทุ่มตลาด (Dumping) และการตีตลาดจากสินค้าจีนอย่างต่อเนื่อง
โดยสินค้าที่ทะลักเข้ามาได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาคการผลิตกว่า 23 อุตสาหกรรม ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ เหล็ก อลูมิเนียม เครื่องจักรกลการเกษตร เยื่อกระดาษ เซรามิก ปูนซีเมนต์ หนังและผลิตภัณฑ์หนัง เป็นต้น ส่วนปัญหาจีนเทานั้นต้องเร่งแก้ไขก่อนที่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสังคมมากขึ้น เรื่อยๆ ปัญหาจีนเทานั้นเป็นภาพสะท้อนของปัญหาการบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทย การเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมายจึงเป็นทางแก้ที่สำคัญที่สุด ทั้ง กฎหมายฟอกเงิน กฎหมายประกอบธุรกิจคนต่างด้าว
“นอกจากนี้ต้องจัดการกับปัญหานอมินีและบัญชีม้านิติบุคคล กลั่นกรองการขอรับสิทธิประโยชน์การลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คุมเข้มสินค้านำเข้าคุณภาพต่ำและผิดกฎหมาย พร้อมกับ บูรณาการระบบข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหาให้ดีขึ้น เราสามารถเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ด้วยการยกเลิกกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นและการจัดการแก้ปัญหาจีนเทาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น” รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวในตอนท้าย
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี