นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากมาตรการการเปิด-ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ตามเวลาของกองทัพบก ย่อมทำให้เกิดการชะงักงันของการขนส่งสินค้าที่ต้องผ่านชายแดน ซึ่งจากการสอบถามสมาชิกของ ส.อ.ท. พบว่าปัจจุบันเริ่มได้รับผลกระทบบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายได้ในขณะนี้ กำลังรอสรุปตัวเลขที่ชัดเจนอยู่
โดยไทยมียอดการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาอยู่ที่ประมาณ 1.7 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งด่านที่อรัญประเทศมียอดค้าขายมากที่สุดอยู่ที่ประมาณ 1.1 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 64% ของมูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด
“เวลานี้ยังประเมินไม่ได้ว่าการเปิด-ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ตามเวลาของกองทัพบกนั้น จะกระทบเท่าไหร่ แต่หากคำนวณด้วยวิธีการหารจากยอดส่งออกทั้งหมดต่อวัน ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาทต่อวัน แต่ต้องทำความเข้าใจด้วยว่ามูลค่า 500 ล้านบาทดังกล่าวคงไม่ได้ถูกกระทบไปทั้งหมด มีเพียงบางส่วนเท่านั้น หรือเรียกว่าถูกกระทบบ้าง โดยหวังว่าสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นจะไม่ยืดเยื้อเป็นเวลานาน เพราะยิ่งยืดเยื้อมากเท่าไหร่ ผลกระทบก็จะมากขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากการที่มีมาตรการไม่ปกติ ย่อมทำให้เกิดผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็เข้าใจว่าการดำเนินมาตรการดังกล่าว เพื่อทำให้เกิดการเจรจาหาข้อสรุปอย่างสันติวิธี”นายเกรียงไกร กล่าว
ทั้งนี้การเกิดข้อพิพาทดังกล่าว จะทำให้ทั้งไทยและกัมพูชาได้รับความเสียหาย ซึ่งไทยเป็นฝ่ายที่ได้ดุลการค้ากัมพูชาจากการส่งสินค้าอุปโภค บริโภค น้ำมันเครื่อง เครื่องยนต์ เครื่องจักร ซึ่งเมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นสินค้าดังกล่าวก็จะได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งนี้เชื่อว่าไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วไทยก็จำเป็นต้องปิดด่านขั่วคราว เพื่อให้เกิดการเจรจาบนโต๊ะ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเจรจาจะได้ผลที่ดี มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อทำให้ด่านต่างๆกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะส่งผลดีกับประชาชนของทั้ง 2 ประเทศที่จะไม่ได้รับผลกระทบ และจะมีการค้าขายกันเหมือนเดิม
“เวลานี้ยังไม่มีมาตรการรองรับผลกระทบดังกล่าว ต้องรอผลการเจรจาระหว่าง 2 ประเทศ โดยที่ผ่านมาก็มองว่าการเจรจาเป็นไปในทิศทางที่ดี และถือว่าโชคดีที่ไม่เกิดการสู้รบ หรือเกิดสงคราม ถือว่าเป็นการถอดสลัก หรือถอดชนวนได้ทันเวลาทั้ง 2 ฝ่ายก่อนที่จะเกิดการปะทะ หรือบานปลาย เพราะการเกิดสงครามย่อมสร้างความเสียหายทั้ง 2 ฝ่าย และกระทบกระเทือนต่อการดำรงชีวิตของประชาชน รวมถึงการค้าขาย ซึ่งไม่เป็นผลดีกับใคร”นายเกรียงไกร กล่าว
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนในช่วงเดือนเมษายน 2568 มีมูลค่าการค้ารวม 165,555 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แยกเป็นการส่งออก 96,854 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7% และการนำเข้า 68,701 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.9% ไทยได้ดุลการค้า 28,153 ล้านบาท ส่งผลให้ในช่วง 4 เดือนแรกปี 2568 การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนมีมูลค่ารวม 632,397 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการส่งออก 352,678 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% การนำเข้า 279,719 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% ไทยได้ดุลการค้า 72,959 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามหากแยกการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศในเดือนเมษายน 2568 มีมูลค่า 81,062 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการส่งออก 49,149 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% การนำเข้า 31,913 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า 17,236 ล้านบาท โดยการค้าชายแดนกับมาเลเซีย มีมูลค่าสูงสุด 25,123 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% รองลงมา คือ สปป.ลาว 24,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% เมียนมา 16,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.0% และกัมพูชา 15,307 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.5% โดยสินค้าส่งออกชายแดนสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล 3,140 ล้านบาท น้ำมันสำเร็จรูปอื่น ๆ 1,474 ล้านบาท และเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น นม UHT นมถั่วเหลือง 1,362 ล้านบาท สำหรับในช่วง 4 เดือนแรกปี 2568 การค้าชายแดนมีมูลค่า 344,032 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการส่งออก 206,296 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% และการนำเข้า 137,736 ล้านบาท ขึ้นเพิ่ม 9.9%
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี