สภาผู้บริโภค จัดวงถก กรมรางฯ , สนข. และพรรคเพื่อไทย เจาะลึกที่มารายได้อุดหนุนนโยบาย 20 บาทตลอดสาย แนะเก็บภาษีรถยนต์ตอบโจทย์ความยั่งยืนด้วยกองทุนตั๋วร่วม ขณะที่พรรคเพื่อไทยพร้อมเดินหน้ากฎหมาย 3 ฉบับ เข้าสภาฯ เดือน ก.ค. นี้ มั่นใจเดือน 30 ก.ย. 68 ทุกคนได้ใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายแน่นอน
แม้ว่ารัฐบาลเตรียมเปิดลงทะเบียนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายผ่านแอปทางรัฐในเดือนสิงหาคม นี้ ขณะที่กฎหมาย 3 ฉบับ ประกอบด้วย ร่างกฎหมายตั๋วร่วม ร่างกฎหมายระบบขนส่งราง และ ร่างกฎหมาย รฟม.เตรียมเสนอเข้าพิจารณาวาระ 2 ในเดือนกรกฎาคมนี้ แต่ยังมีคำถามว่าการเดินหน้านโยบาย 20 บาทตลอดสายจะยั่งยืนหรือไม่ สภาองค์กรของผู้บริโภคจึงจัดเวทีเจาะนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท เงินอุดหนุนมาจากไหน ใครได้ ใครจ่าย ? โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตัวแทนผู้บริโภคเข้าร่วมระดมความคิดเห็นเพื่อหาทางออกร่วมกัน
นางสุภาพร ถิ่นวัฒนากูล รองเลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคมีเป้าหมายในการผลักดันเสริมสร้างเมืองที่เป็นธรรม ซึ่งต้องมีขนส่งสาธารณะที่ทุกคนขึ้นได้ ทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์ เรือ ราง ในราคาเป็นธรรม ไม่เป็นมลพิษ ไม่ต้องรอนาน มีความปลอดภัย สภาผู้บริโภคจึงสนับสนุนกฎหมายตั๋วร่วม ซึ่งรวมไปถึงค่าโดยสารร่วมที่เชื่อมโยง รถ ราง เรือ โดยหวังว่ากฎหมายจะผ่านสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ทุกคนจะมีสิทธิใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในเดือนกันยายน และหวังว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทจะมีความยั่งยืนในทุกรัฐบาล
โดยสภาผู้บริโภคเสนอ 5 เรื่องสำคัญของ พ.ร.บ.ระบบตั๋วร่วม ประกอบด้วย 1. มีประธานสภาผู้บริโภคตัวแทนผู้บริโภคในคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม 2. ครอบคลุมทุกการเดินทางใช้ได้ทั้งทางถนน ทางราง และทางน้ำ ในฐานะขนส่งสาธารณะ 3. ต้องมีระบบรับเรื่องร้องเรียนที่ผู้ให้บริการต้องรับฟัง และดำเนินการแก้ไขปัญหาจากผู้ใช้บริการ 4. ใช้ตั๋วร่วมได้ทั่วประเทศไม่ว่าจะเดินทางในกรุงเทพฯ ปริมณฑล หรือต่างจังหวัด ก็ใช้ระบบเดียวกันได้ 5. มีกองทุนช่วยเหลือโดยสารสนับสนุนทั้งประชาชนและผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะให้เดินหน้าร่วมกันได้
ด้าน นายอดิศักดิ์ สายประเสริฐ อนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า นโยบายอุดหนุนค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท หัวใจคือ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม และค่าโดยสารร่วม ซึ่งต้องมีกองทุนตั๋วร่วม แต่คำถามคือจะหาเงินจากที่ไหนบ้าง โดยปัจจุบันรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังอยู่ในช่วงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. ซึ่งจะนำเงินรายได้จาก รฟม มาใช้ในการอุดหนุน และมีจัดสรรงบประมาณโดยตรงจากรัฐบาล แต่มีข้อเสียคืออาจจะไม่เกิดความยั่งยืน ขณะที่มีตัวอย่างเมืองใหญ่ในต่างประเทศหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น ลอนดอน อัมสเตอร์ดัม หรือ ควิเบก ที่มีมาตรการของรัฐในการอุดหนุนระบบขนส่งสาธารณะ
ดังนั้นเห็นว่า หากต้องการสร้างความยั่งยืน จะต้องการผลักดันค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge ) และ สามารถเสนอแก้ไขกฎหมายดังต่อไปนี้เพื่อนำเงินมาสร้างความยั่งยืนของ ระบบตั๋วร่วม ประกอบด้วย แก้ไข พ.ร.บ.การขนส่งทางบก 2522 ให้แบ่งเงินภาษีรถยนต์เข้ากองทุนตั๋วร่วม ร่วมถึงแก้ไข พ.ร.บ.รถยนต์ แก้ไขค่าภาษีรถยนต์ประจำปีให้อยู่ในระดับกฎกระทรวง เพื่อนำเงินมาใช้ และแก้ไข พ.ร.บ.กำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์ฯ มาตรา 6 เพื่อ earmark เข้ากองทุน “แหล่งรายได้ที่จะมาช่วยสนับสนุนกองทุนตั๋วร่วม อาจจะมาจาก ค่าธรรมเนียมรถติด, ภาษีน้ำมันรวมต้นทุนค่าอากาศสะอาด,ภาษีรถยนต์รวมต้นทุนราคาคาร์บอน รายได้เหล่านี้เพื่อให้กองทุนตั๋วร่วมไม่ต้องพึ่งพิงรายได้จากงบประมาณรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ทำให้มีเงินเข้ากองทุนในระยะยาวยั่งยืนได้” และจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภคและการพัฒนาเมืองในระยะยาว
นายอธิภู จิตรานุเคราะห์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กล่าวว่า นโยบาย 20 บาทเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล มีเรื่องท้าทายคือการเงิน เทคโนโลยี และกฎหมาย การใช้จ่ายเงินต้องรัดกุม ตรวจสอบได้ จึงไม่สามารถเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่จะดำเนินการอย่างรัดกุมเพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้บริโภคมากที่สุด แม้มีความท้าทายทั้งการเงิน เทคโนโลยี และกฎหมายโดยขณะนี้กำลังศึกษาเพื่อให้นโยบายนี้ดำเนินการอย่างยั่งยืนได้
นายจิรโรจน์ ศุกลรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กล่าวว่า รถไฟฟ้าประเทศไทยมี 2 รูปแบบ 1) รัฐจ้างวิ่งแล้วรัฐเป็นผู้รับรายได้ เมื่อจะปรับลดค่าบริการ รัฐจะรู้รายได้ที่ลดลง 2) มีหลายสายที่ยังมีสัญญาสัมปทานกันอยู่โดยเอกชนเป็นผู้เดินรถและรับรายได้ ซึ่งในส่วนที่รัฐจ้างเดินรถ เช่นสายสีแดง และสายสีม่วง สามารถดำเนินกานนโยบาย 20 บาทได้ก่อน ส่วนที่มีสัญญาสัมปทานอาจจะต้องมีการเจรจา อย่างไรก็ตามในการสร้างความยั่งยืน และแหล่งที่มาของรายได้ในการสนับสนุนนโยบาย ในช่วงแรกจะใช้เงินรายได้ของ รฟม.มาดำเนินการ แต่ในระยะยาวกำลังมีการศึกษาแหล่งที่มาของรายได้เพื่อสร้างความยั่งยืนของนโยบายนี้ เช่นค่าภาษีรถติด เพื่อสนับสนุนนโยบายนี้
ขณะที่ นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กระบวนการทำงานในฝั่งสภาผู้แทนราษฎร ได้ขับเคลื่อนการแก้กฎหมาย โดยยื่นแก้ไขกฎหมายและ สภาฯ ได้เห็นชอบในวาระแรกของการแก้ไขกฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ร.บ.การจัดการระบบตั๋วร่วม และ พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนฯ ซึ่งทั้ง 3 ฉบับจะกลับสู่การพิจารณาสภาฯ ในวาระ 2-3 ในเดือน ก.ค.นี้ เพื่อให้สามารถดำเนินการต่อตามเป้าหมายของฝั่งบริหาร หรือคือให้ประชาชนได้เดินทางในค่าใช้จ่ายที่ถูก เพื่อเป็นการลดค่าครองชีพได้ในวันที่ 30 ก.ย.นี้เป็นต้นไป
นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า สุดท้าย ขอให้คำมั่นว่ารัฐบาลนี้จริงจังและนโยบายเกิดขึ้นแน่นอนจึงมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้มีความยั่งยืน และมองว่า รถไฟฟ้าไม่ควรเป็นธุรกิจค้ากำไร ดังนั้น เพื่อสร้างความยั่งยืนของการแก้ปัญหาเรื่องตั๋วโดยสารนี้ พรรคเพื่อไทยจึงมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการผ่านการแก้กฎหมายให้มีความถาวร ตั้งกองทุน และคณะกรรมการเข้ามากำกับดูแลนโยบายอย่างเหมาะสม
ส่วนเรื่องแหล่งที่มาของงบประมาณที่จะเข้ามาในกองทุนนั้น ต้องเปิดกว้างให้มีแหล่งที่มาที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหาร และลดการพึ่งพางบประมาณจัดสรรจากรัฐบาลแบบปีต่อปี เปิดให้ รฟม. สามารถหารายได้อื่นเพิ่มเติมแล้วนำรายได้นั้นมาช่วยเหลือค่ารถไฟฟ้า เช่น รายได้ค่าโฆษณา ค่าเช่าพื้นที่ส่วนควบ หรือลงทุนธุรกิจอื่นๆ รอบสถานี หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะลดค่าใช้จ่ายประชาชนที่เดินทางโดยขนส่งสาธารณะได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี