** สงครามการค้ารอบใหม่คาดจะทำให้ปัญหาสินค้าจีนทะลักมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะกดดันต่อการผลิตและการจ้างงานในหลายอุตสาหกรรมที่สำคัญของอาเซียน เนื่องจากความต้องการนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงจากต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้น ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน (Overcapacity) ในจีนที่ยังไม่ดีขึ้น จะทำให้ผู้ผลิตจีนมีแนวโน้มระบายสินค้าเข้าสู่ตลาดอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะอาเซียน
โดยธุรกิจที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบสูงจากปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้ามาในตลาดอาเซียน เช่น รถยนต์ เคมีภัณฑ์ เหล็กและอะลูมิเนียม เครื่องจักร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่อาเซียนนำเข้าจากจีนในช่วงปี 2560-2567 เพิ่มขึ้นสูงถึงราว 3%-14% ต่อปี ซึ่งอาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผู้ประกอบการในอาเซียนมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะ SMEs จากความเสียเปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าจีน และจะซ้ำเติมปัญหาในภาคการผลิตของอาเซียนที่จะได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่มีแนวโน้มลดลง
นอกจากนี้ในด้านการลงทุนนั้น สงครามการค้าระยะแรกในช่วงปี 2561-2562 ทำให้มีการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังอาเซียนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากจีนในอาเซียนอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2560
อย่างไรก็ตาม มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2568 อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของอาเซียน โดยเฉพาะประเทศที่เคยได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตของจีนอย่างเวียดนามและไทย เนื่องจากจะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้ที่สูงถึง 46% และ 36% ตามลำดับ ซึ่งอาจส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าจากประเทศเหล่านี้ในตลาดสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง และอาจทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจน หรืออาจมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่จะถูกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตราภาษีที่ต่ำกว่า เช่น ฟิลิปปินส์ (17%) และสิงคโปร์ (10%) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงสิ่งทอและรองเท้า เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ ที่ลงทุนในอาเซียนอาจย้ายฐานการผลิตกลับไปยังสหรัฐฯ (Reshoring) เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนภาษีที่สูงขึ้น สะท้อนจากผลสำรวจของ Kearney (2025) ชี้ว่า ผู้บริหารระดับสูงที่วางแผนจะย้ายฐานการผลิตกลับไปยังสหรัฐฯ ภายใน 3 ปีข้างหน้ามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน และราว 50% ของผู้บริหารระดับสูงระบุว่าความตึงเครียดทางการค้าจะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญในการย้ายฐานการผลิตกลับไปยังสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่จะเข้ามาอาเซียนในอนาคตมีแนวโน้มลดลง
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจย้ายฐานการผลิตออกจากอาเซียนจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยหลายประการ ทั้งในด้านต้นทุนแรงงาน ความพร้อมของระบบโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนกฎระเบียบและสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน อีกทั้งยังคงต้องติดตามความคืบหน้าของการเจรจาระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ ที่อาจนำไปสู่อัตราภาษีตอบโต้ที่ลดลง ซึ่งอาจทำให้อาเซียนยังคงได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต ( อ้างอิงจาก 2025 Reshoring Index, Kearney )
ทั้งนี้ผู้ประกอบการไทย ควรติดตามคำตัดสินเกี่ยวกับมาตรการภาษีของศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ และติดตามความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มและผลกระทบต่อการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก รวมทั้งเตรียมความพร้อมในการปรับตัว เช่น การจัดหาวัตถุดิบจากหลายแหล่ง การวางแผนการผลิต รวมถึงการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยควรลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ และจีน และหันมาให้ความสำคัญกับการกระจายตลาดส่งออกไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตลาดอาเซียน โดยใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ภายในภูมิภาค เช่น ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้า และเพิ่มโอกาสด้านการค้าและการลงทุนภายในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น
** Krungthai COMPASS **
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี