นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ คณะกรรมการ ส.อ.ท. ได้เข้าพบ นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน และนายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนด้านการพัฒนาทักษะของแรงงาน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ส่งผลให้ประเทศไทย โดยเฉพาะแรงงานต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด ดังนั้น ส.อ.ท.จึงขับเคลื่อนแนวทางการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมไทย โดยพัฒนาอุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industries) ควบคู่กับการก้าวสู่อุตสาหกรรมใหม่ หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) ผ่านแนวทาง ดังนี้ 1.เปลี่ยนการผลิตจาก OEM-Original Equipment Manufacturer (ผู้ผลิตตามสั่งแบรนด์อื่น) เป็น ODM-Original Design Manufacturer (ผู้ผลิตที่ออกแบบเองด้วย) หรือ OBM-Original Brand Manufacturer (ผู้ผลิตและทำแบรนด์เอง) 2.เปลี่ยนการใช้แรงงาน มาใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม เช่น ดิจิทัล, AI และระบบอัตโนมัติ เป็นต้น 3.เปลี่ยนการผลิตเพื่อกำไร มาเป็นการผลิตเพื่อความยั่งยืน และ4.เปลี่ยนจาก Unskilled Labour มาเป็น High-skilled labour ผ่านกลไก Pay by skills
ทั้งนี้ ส.อ.ท.ได้นำเสนอมาตรการพัฒนาผลิตภาพแรงงาน เพื่อความสามารถในการแข่งขัน ประกอบด้วย 1.เพิ่มผลิตภาพแรงงาน สร้างความสามารถในการแข่งขันของไทยกับประเทศคู่แข่ง โดยการผลักดันผลิตภาพแรงงานเป็นวาระแห่งชาติ รวมถึงพัฒนาทักษะ โดยการเพิ่มทักษะ (Upskill) การฝึกทักษะใหม่ (Reskill) และทักษะอนาคต (Future Skill) ให้ตรงความต้องการของผู้ประกอบการและตลาดแรงงาน อีกทั้งหนุนการผลิตแบบลีน (ลดความสูญเปล่า) หรือ Lean Manufacturing พร้อมการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) 2.ส่งเสริม พัฒนา SMEs นำระบบอัตโนมัติ ทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน โดยภาครัฐควรมีนโยบายและจัดสรรงบประมาณ เพื่อส่งเสริมและพัฒนา SMEs
3.จัดทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ที่ทันสมัย แม่นยำ เพื่อบริหารจัดการ Demand & Supply ด้านแรงงาน โดยภาครัฐควรพัฒนาระบบฐานข้อมูล Big data โดยมีหน่วยงานเฉพาะกิจมารับผิดชอบ 4.ประสานความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และภาคการศึกษา ในการผลิตแรงงานตามความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะสาย Science, Technology, Engineering, Mathematics (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม คณิตศาสตร์) หรือ STEM 5.แก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานต่างด้าวที่แรงงานไทยไม่ทำโดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและจ้างงานแรงงานต่างด้าวให้มีประสิทธิภาพ ลดขั้นตอน ค่าใช้จ่าย เพื่อลดภาระผู้ประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าว พร้อมจัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวระยะยาว เช่น เจรจากับประเทศต้นทางในการปรับปรุงบันทึกข้อตกลง MOU
6.แก้ปัญหาไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย บรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยภาครัฐควรส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงวัยที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญ รวมทั้งพิจารณามาตรการจูงใจจ้างงานผู้สูงวัย เช่น ลดหย่อนภาษี และมาตรการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งพัฒนาทักษะผู้สูงอายุ และส่งเสริมผู้สูงอายุปรับตัวตามตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป และจัดทำฐานข้อมูลแรงงานผู้สูงวัย เพื่อผู้ประกอบการจะได้นำฐานข้อมูลมาบริหารจัดการด้าน Demand ของผู้ประกอบการ 7.เพิ่มรายได้ให้กับแรงงาน โดยหนุนจ่ายค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน (Pay by Skills) เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับแรงงาน ลดภาระให้กับผู้ประกอบการ และลดต้นทุนต่อหน่วย พร้อมปรับปรุงระบบสวัสดิการแรงงาน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน เช่น ลดค่าสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ค่าเล่าเรียนบุตร เป็นต้น และ8.ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างนายจ้างและลูกจ้างโดยการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ควรเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการค่าจ้างไตรภาคีจังหวัด เป็นผู้พิจารณาให้สอดคล้องกับปัจจัยทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อและอัตราการเติบโตของ GDP
นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประธานสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต และประธานสายงานสมาชิกสัมพันธ์ กิจกรรมและรายได้ กล่าวว่า ขณะนี้การขึ้นค่าแรง 400 บาทในพื้นที่ Eastern Economic Corridor (เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก) หรือ EEC เท่ากันแบบเหมารวมทั้ง 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยอง แต่พื้นที่ EEC ที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมีเพียง 15% ของพื้นที่ทั้งหมดเท่านั้น ทำให้ 98.5% ได้รับผลกระทบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น SMEs
ทั้งนี้ขอเสนอภาครัฐในการออกมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบค่าแรง 400 บาท ดังนี้1.มาตรการลดหย่อนภาษี เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับพยุงการจ้างงาน 2.การส่งเสริมเทคโนโลยีและการปรับตัว 3.การลดอัตราการส่งเงินสมทบประกันสังคมฝ่ายนายจ้างจาก 5% เหลือ 0-1% 4.การลดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% เหมือนช่วงโควิด 5.การลดอัตราค่าไฟฟ้าเหลือ 3.50 บาท จาก 3.70 บาท และ6.การยกเว้นค่าธรรมเนียมในการออกใบอนุญาตต่างๆ
นอกจากนี้ขอให้ทบทวนการจ่ายเงินสมทบเข้า “กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง” ใหม่ หรือขยายเวลาวันที่มีผลบังคับใช้ออกไปอีกอย่างน้อย 2 ปี เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ จากปัญหาปัจจัยระหว่างประเทศและภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ อาทิ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ นโยบายทางการค้าระหว่างประเทศ ปัญหาสินค้าจีน เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี