นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เปิดเผยในการเป็นประธานมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ประกอบการที่ผ่านการคัดเลือกโครงการ “ส่งเสริมกาแฟไทยอย่างยั่งยืนด้วย FTA” ณ ห้องประชุมมโนปกรณ์นิติธาดา กระทรวงพาณิชย์ โดยมี นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ร่วมในพิธี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ว่า โครงการนี้เป็นโครงการนำร่องที่สำคัญของกระทรวงพาณิชยื โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการกาแฟไทยให้ใช้ความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) อย่างเต็มที่ ซึ่ง FTA เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจกาแฟไทยบุกตลาดโลกได้ง่ายขึ้น เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าของประเทศคู่ค้าในความตกลงส่วนใหญ่ลดลงหรือเป็นศูนย์ และยังได้รับการอำนวยความสะดวกทางการค้าเพิ่มเติม
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวมุ่งเน้นการนำเมล็ดกาแฟไทย ทั้งพันธุ์อาราบิก้าและโรบัสต้าจากทุกภูมิภาคมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ผ่านการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น เมล็ดกาแฟคั่ว กาแฟคั่วบด กาแฟแคปซูล กาแฟดริป กาแฟถุงชง กาแฟสปาร์คกิ้ง กาแฟสำเร็จรูป และลูกอมกาแฟ ซึ่งตนมั่นใจทุกผลิตภัณฑ์กาแฟไทยว่ามีคุณภาพสูง สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศได้
โดยในครั้งนี้มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ จำนวน 84 ราย ผ่านการคัดเลือกรอบแรก จำนวน 20 ราย เข้าร่วม Boot Camp ติวเข้มความรู้ด้าน FTA การค้าระหว่างประเทศ กฎระเบียบการส่งออก กลยุทธ์การตลาดด้วย AI การใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์ และการบริหารความเสี่ยง พร้อมจัด Workshop เพื่อสร้างคลัสเตอร์ผู้ประกอบการ ก่อน Pitching คัดเลือก จำนวน 10 รายสุดท้าย ที่จะเดินทางไปประเทศจีนเพื่อสำรวจตลาด จับคู่ธุรกิจกับคู่ค้าจีน และเข้าร่วมงาน “CAFEEX 2025” (Café Expo China) ณ เมืองกว่างโจว และเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน ในเดือนสิงหาคม 2568
“ผู้ประกอบการ SMEs ถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทย ปัจจุบันมีมากกว่า 3.1 ล้านราย และสร้างการจ้างงานกว่า 10 ล้านคน ซึ่งการเสริมศักยภาพ SMEs ด้วย FTA และเทคโนโลยีดิจิทัล จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน ประกอบกับกาแฟเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากน้ำมันดิบ โดยตลาดกาแฟโลกมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 433,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี”นายฉันทวิชญ์ กล่าว
สำหรับประเทศไทยนั้น ตลาดกาแฟมีมูลค่าประมาณ 100,000 ล้านบาท มีการเติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี โดยมีการบริโภคเฉลี่ย 340 แก้วต่อคนต่อปี หรือวันละ 1 แก้ว และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราต้องทำให้กาแฟไทยมีคุณภาพ มีอัตลักษณ์ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเจาะตลาดพรีเมียมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดจีน ที่คนรุ่นใหม่ให้ความนิยมสูง
นอกจากนี้โครงการ “ส่งเสริมกาแฟไทยอย่างยั่งยืนด้วย FTA” ยังสนับสนุนการขึ้นทะเบียนสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication : GI) และการผลิตที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาดพรีเมียม โดยประเทศจีนถือเป็นตลาดสำคัญที่ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก FTA อาเซียน-จีน และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ซึ่งลดภาษีนำเข้าเมล็ดกาแฟคั่วเหลือ 0-5% และผลิตภัณฑ์กาแฟเหลือ 0% ได้
ทั้งนี้ปัจจุบันประเทศไทยมีการส่งออกกาแฟคั่วไปประเทศจีน เป็นอันดับ 2 มูลค่า 0.29 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และส่งออกกาแฟสำเร็จรูป เป็นอันดับ 7 มูลค่า 3.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามความนิยมกาแฟของผู้บริโภคจีนที่เพิ่มขึ้นกว่า 8.55% ต่อปี
“ผมเชื่อมั่นว่าโครงการส่งเสริมกาแฟไทยอย่างยั่งยืนด้วย FTA จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่การเป็นผู้ส่งออกแบรนด์กาแฟไทยที่แข็งแกร่ง เชื่อมโยงวัตถุดิบไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลก และยกระดับกาแฟไทยสู่ตลาดพรีเมียมทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดจีน ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์จะอยู่เคียงข้างผู้ประกอบการไทยและสนับสนุนการเข้าถึงช่องทางการตลาดต่างๆอย่างต่อเนื่อง”นายฉันทวิชญ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี