นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายยุทธศาสตร์ และผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย(ภาคธุรกิจ)เดือนกรกฎาคม 2568 ว่า ดัชนีปรับลดลงจากระดับ 46.7 เป็น 45.9 โดยยังคงมีสัญญาณปรับลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 31 เดือน เนื่องจากภาคธุรกิจความกังวลต่อแนวทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และการตอบโต้ของประเทศต่างๆที่ได้รับผลกระทบของนโยบายทรัมป์ รวมถึงการเมืองไม่มีเสถียรภาพ หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว รวมทั้งสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายไทย-กัมพูชาที่ส่งผลกับประชาชน รวมถึงการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนชายแดนที่ต้องหยุดชะงัก
ด้าน นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือน กรกฎาคม 2568 ดัชนีปรับตัวลดลงจากระดับ 52.7 เป็น 51.7 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 31 เดือน นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 เป็นต้นมา ซึ่งการที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพสูง และมีปัญหาสงครามการค้า สงครามชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตให้ปรับลดลงได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 45.6 ,49.8 และ 59.6 ตามลำดับ ปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 โดยปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนมิถุนายนที่อยู่ในระดับ 46.7 ,50.6 และ 60.9 ตามลำดับ การที่ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ และค่าครองชีพที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงจากสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง
“ดัชนีทั้ง 2 รายการ ทั้งผู้บริโภค และภาคธุรกิจ ในเดือนกรกฎาคม ตกลงต่อเนื่อง และตกลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 31 เดือนทั้ง 2 รายการ เพราะทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจเอง กังวลปัญหา เสถียรภาพรัฐบาล สงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 และความขัดแย้งไทยกับกัมพูชา ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยซึมลงต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว 2 ครั้ง รวม 0.5% อยู่ที่ 1.75% แต่รู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นช้าและการเข้าถึงสินเชื่อลำบาก”นายธนวรรธน์ กล่าว
อย่างไรก็ตามในส่วนของภาคธุรกิจนั้น ดัชนีความเชื่อมั่นตกลงทุกภาคและมีค่าต่ำกว่า 50 ดังนั้นจึงเสนอให้ภาครัฐ เร่งดำเนินการในการแก้ไขปัญหา ได้แก่ แผนการเจรจาต่อรองภาษีกับประเทศมหาอำนาจที่มีผลต่อการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องในไทย และการรับมือกับการปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯอย่างเป็นรูปธรรม และการออกมาตรการป้องกันและรับมือกับสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา รวมทั้งการบริหารจัดการการค้าชายแดน ,หามาตรการป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง,หามาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นที่สามารถเพิ่มยอดคำสั่งซื้อสินค้าและบริการในทุกสาขาธุรกิจ
นอกจากนี้ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการส่งออกและภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในภูมิภาคได้ รวมไปถึงออกมาตรการส่งเสริมช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ตามมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยยังคงเป้าการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2568 นี้ไว้ที่ 1.5-2% หรือค่ากลางที่ 1.7%
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี