‘พิพัฒน์’ เปิด 3 เรื่องเร่งด่วนขับเคลื่อนคมนาคม

‘พิพัฒน์’ เปิด 3 เรื่องเร่งด่วนขับเคลื่อนคมนาคม

วันพุธ ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 16.34 น.

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้มอบนโยบายและทิศทางการทำงานของกระทรวงคมนาคม ภายใต้นโยบายรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยมุ่งเน้นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชน และ การยกระดับการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ลดภาระประชาชน วางโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สู่ศูนย์กลางคมนาคมของภูมิภาค” เดินทางสะดวก ปลอดภัย ลดภาระประชาชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สู่ศูนย์กลางคมนาคมของภูมิภาค

ทั้งนี้รัฐบาลได้กำหนดนโยบายด้านคมนาคมขนส่งและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้ง “ทางบก ทางราง ทางน้ำ และ ทางอากาศ” โดยแบ่งแผนในการดำเนินการออกเป็น 3 ส่วน สำคัญ ดังนี้


ส่วนที่ 1.การแก้ปัญหาเร่งด่วนเพื่อลดภาระประชาชน โดยสิ่งแรกที่กระทรวงคมนาคมจะเร่งดำเนินการ คือ มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนทันที โดยการขยายมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ทั้งสายสีแดงและสายสีม่วง ไปจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 เมื่อครบกำหนดการขยายระยะเวลาแล้ว นายกรัฐมนตรีด้มีข้อสั่งการให้กระทรวงคมนาคม ตั้งคณะกรรมการเพื่อทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาว่าจะใช้ต่อไปหรือไม่ หากคงนโยบายนี้ไว้ จะใช้เวลานานเท่าไหร่ โดยต้องนำเสนอข้อสรุปต่อนายกรัฐมนตรีภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568

ส่วน พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ จะไม่ใช่เป็นการใช้แค่ระบบราง แต่จะพยายามใช้กับรถโดยสายด้วย ซึ่งคิดว่าทั้งหมดอาจไม่มีโอกาสสำเร็จในทีเดียวของรัฐบาลชุดนี้ แต่ก็มีผู้ที่ทักท้วงมาว่า รัฐบาลจะต้องสนับสนุนเงินถึง 20,000 ล้านบาท เหมาะสมหรือไม่

โดยจะดำเนินการควบคู่กับการเข้มงวดในการตรวจสอบความปลอดภัยในทุกโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เพื่อสร้างความปลอดภัยสูงสุดต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน พร้อมยกระดับคุณภาพการบริการระบบคมนาคมทั้งระบบ ทั้ง “ทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ” ให้เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ และจากสถานการณ์ปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัด กระทรวงคมนาคมได้มอบหมาย กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรมเจ้าท่า เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง พร้อมเปิดเส้นทางและ กำจัดสิ่งกีดขวาง เพื่อการอำนวยความสะดวกต่อพี่น้องประชาชน

ส่วนที่ 2.การเร่งดำเนินโครงการโดยทันที โดยได้มอบหมายกรมทางหลวง (ทล.) เร่งการเปิดใช้ถนนพระราม 2 แม้เบื้องต้นจะตรวจสอบข้อมูลและพบว่ายังคงมีงานก่อสร้างที่เสร็จไม่ทันภายในปี 2568 ตามกรอบของรัฐบาลเดิมกำหนด แต่ตนได้เร่งรัดให้ดำเนินการ โดยกำหนดเปิดเป็น 2 ช่วง คือ ระยะที่ 1 ทางต่างระดับบางขุนเทียน–เอกชัย เป็นระยะทาง 8.3 กิโลเมตร ภายในเดือนตุลาคม 2568 และ ระยะที่ 2 เอกชัย ไปถึงบ้านแพ้ว ระยะทางรวม 16.3 กิโลเมตร โดยเร่งการเปิดใช้บริการให้ทันก่อนเทศกาลสงกรานต์ปี 2569  และเส้นทางเอกชัย–บ้านแพ้ว ก่อนสงกรานต์ 2569 เปิดใช้มอเตอร์เวย์สาย M81 (บางใหญ่–กาญจนบุรี) ในเดือนตุลาคม 2568 และ สาย M6 (บางปะอิน–โคราช) ต้นปี 2569 รวมถึงการเปิดสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 5 ที่จังหวัดบึงกาฬ–บอลิคำไซ

นอกจากนี้ยังผลักดันการประมูลรถไฟทางคู่ 3 เส้นทาง ได้แก่ ชุมพร–สุราษฎร์ธานี สุราษฎร์ธานี–หาดใหญ่ และหาดใหญ่–ปาดังเบซาร์ พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาจราจรติดขัดในจังหวัดภูเก็ตด้วยโครงการทางพิเศษกะทู้–ป่าตอง และถนนแนวใหม่บ้านเมืองใหม่–สนามบินภูเก็ต ในโครงการทางพิเศษของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)

โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน แบบไร้รอยต่อ (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) มูลค่า 2.24 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่ล่าช้ามานาน กระทรวงคมนาคมจะเรียกบริษัทเอกชนมาร่วมหารือกับคณะกรรมการอีอีซี และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท) เพื่อหาแนวทางในการเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะยกเลิกสัญญาหรือไม่ ขอให้ได้หาหรือกับเอกชนและผู้มีส่วนร่วมทั้งหมดก่อน

ส่วนที่ 3. ส่งเสริมการนำรถเมล์ไฟฟ้า (EV Bus) มาใช้เพื่อทดแทนรถร้อน ซึ่งนำมาสู่การยกระดับการบริการและลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นนโยบายที่เห็นพ้องต้องกันกับปลัดกระทรวงคมนาคม และหากจะต้องปรับราคาค่าโดยสาร ก็จะเป็นการเพิ่มภาระประชาชน ดังนั้นจะมีนโยบายให้ ขสมก.ยังคงราคาค่าโดยสารอยู่ที่ 8 บาท ส่วนรถเมล์ปรับอากาศที่ให้บริการอยู่ 1,363 คัน ก็จะมีการศึกษาปรับราคาค่าโดยสารลง โดยแนวทางปรับลดค่าโดยสารรถเมล์ ขสมก.นั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลที่ต้องการทำแพ็กเกจลดค่าครองชีพของประชาชนในการใช้บริการขนส่งสาธารณะ

“การเปลี่ยนรถเมล์ EV จะช่วยลดภาระทางการเงินที่รัฐบาลต้องคอยสนับสนุน และ ขสมก.ต้องแบกรับต้นทุนอยู่มหาศาล โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ประมาณ 2,090 ล้านบาทต่อปี และค่าซ่อมบำรุงแบบเหมาจ่ายประมาณ 1,800 ล้านบาทต่อปี  การใช้รถเมล์ EV จะช่วยให้ ขสมก. ประหยัดต้นทุนไปมากสุดถึง 4,000 ล้านบาทต่อปี ลดการขาดทุนและยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อมจากการลดควันดำได้”นายพิพัฒน์ กล่าว

อย่างไรก็ดีในระยะยาว กระทรวงคมนาคมจะเดินหน้าปรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อรองรับอนาคต โดยมีโครงการสำคัญ เช่น โครงการ LANDBRIDGE ที่จะเชื่อมการคมนาคมทางราง ถนน ท่อ และ ท่าเรือ เพื่อยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค ตลอดจนการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ อาทิ ขอนแก่น–หนองคาย บ้านไผ่–มุกดาหาร–นครพนม และเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ รวมถึง รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ–โคราช ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและสีม่วง พร้อมเร่งรัดการต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีแดงทั้งฝั่งเหนือและตะวันตก

ในขณะเดียวกันจะเพิ่มศักยภาพสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และเชียงใหม่ เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารและการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ และสะพานเชื่อมทะเลสาบสงขลา เพื่อลดเวลาการเดินทางระหว่างจังหวัด นอกจากนี้จะมีการปรับปรุงกฎหมายด้านคมนาคมให้ทันสมัย รองรับเทคโนโลยีและบริการรูปแบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น

-033

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top