ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ผู้ประกอบการ 3 สมาคมอุตสาหกรรมเหล็กของไทย ประกอบด้วย สมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย สมาคมผู้ผลิตเหล็กทรงยาวด้วยเตาอาร์คไฟฟ้า และสมาคมผู้ผลิตเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน ได้ยื่นหนังสือต่อ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ข้อเสนอแนะการทบทวนปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กเส้น เนื่องจากทั้ง 3 สมาคมอุตสาหกรรมเหล็กได้ติดตามความคืบหน้าของการทบทวนมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กเส้น 2 ฉบับ คือ มอก. 20-2543 เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เหล็กเส้นกลม และ มอก. 24-2548 เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เหล็กข้ออ้อย จึงต้องเสนอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ทราบประเด็นที่กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กให้ความสำคัญสูงสุดคือมาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์เหล็กเส้น เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีความสำคัญต่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การกำหนดมาตรฐานคุณภาพเหล็กเส้นจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงแข็งแรงของสิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมถึงมาตรการควบคุมการผลิตเหล็กเส้นให้เป็นไปตามมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
ทั้งนี้ในปัจจุบันมีการผลิตเหล็กเส้นก่อสร้างในประเทศประมาณปีละ 3 ล้านตัน ตัวอย่างในปี 2567 มีการผลิตจากการหลอมเศษเหล็กแล้วหล่อเป็นแท่งบิลเล็ตด้วยเตา Electric Arc Furnace (EAF) ประมาณ 1.2 ล้านตัน ผลิตด้วยเตา Induction Furnace (IF) ประมาณ 1.6 ล้านตัน และนำเข้าบิลเล็ตมารีดเป็นเหล็กเส้นอีกประมาณ 0.3 ล้านตัน และ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเกิดประเด็นปัญหาคุณภาพกับเหล็กเส้นที่ผลิตจากเตา IF เนื่องจากการที่จะผลิตเหล็กเส้นให้ได้มาตรฐานด้วยกระบวนการ IF ต้องใช้ความพิถีพิถันอย่างมากในการคัดเลือกวัตถุดิบเศษเหล็กที่มีความสะอาด ไม่มีสารมลทินและสิ่งเจือปนที่มากเกินไป เนื่องจากข้อจำกัดของ IF ในการกำจัดสารมลทิน เช่น ฟอสฟอรัส กำมะถัน ตลอดจนธาตุที่ต้องควบคุมปริมาณให้ได้ตาม มอก. เช่น ธาตุโบรอน เป็นต้น
นอกจากนี้เนื่องจากส่วนประกอบทางเคมีจะเป็นปัจจัยหลักต่อคุณสมบัติทางกล หากไม่สามารถควบคุมส่วนประกอบทางเคมีให้สม่ำเสมอตามค่าที่เหมาะสม ก็จะส่งผลให้ตกมาตรฐานคุณสมบัติทางกลได้ สิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งในกระบวนการถลุงเหล็ก (smelting) จากแร่เหล็ก ในขั้นตอน Basic Oxygen Furnace (BOF) กับกระบวนการ EAF คือการใช้ออกซิเจนเป่าไล่สารมลทินที่จับตัวกับออกซิเจนได้ เช่น ฟอสฟอรัส สำหรับกระบวนการ EAF นั้น นอกเหนือจากการใช้ออกซิเจนในการหลอมเหล็ก ยังมีการสร้างชั้นของ สแลก (slag) หลอมเหลวสำหรับดูดซับสารมลทิน เช่น ฟอสฟอรัสและกำมะถัน สิ่งสกปรกและสิ่งเจือปน (Inclusions) ต่างๆ การเป่าออกซิเจนจะช่วยสร้างสภาพการกวนวน (Agitation) ในน้ำเหล็กอย่างทั่วถึง ทำให้สามารถปรุงแต่งและควบคุมองค์ประกอบทางเคมีรวมถึงความสะอาดสม่ำเสมอของเหล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับ IF เป็นกระบวนการหลอม (melting) ด้วยการเหนี่ยวนำทางไฟฟ้าเท่านั้น ไม่มีการใช้ออกซิเจน ไม่มีการสร้างชั้นของสแลก จึงไม่สามารถกำจัดหรือดูดซับสารมลทินที่อยู่ในเศษเหล็กและวัตถุดิบ เช่น ฟอสฟอรัส กำมะถัน และธาตุอื่นที่เจือปนอยู่ในเศษเหล็ก เช่น โบรอน เป็นต้น จึงต้องคัดเลือกเศษเหล็กที่ใช้เป็นวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน และ เตรียมเศษเหล็กที่สะอาดและต้องมีการเติมส่วนผสมทางเคมีด้วยธาตุต่างๆลงไปในกระบวนการหลอมอย่างแม่นยำ เพื่อที่จะหลอมเหล็กหรือโลหะให้เป็นไปตามข้อกำหนด จึงเหมาะกับใช้กับงาน เหล็กหล่อ เหล็กพิเศษ เหล็กกล้าไร้สนิม และโลหะที่ไม่ใช่เหล็ก เช่น ทองแดง ทองเหลือง อลูมิเนียม และด้วยลักษณะการหลอมแบบเหนี่ยวนำด้วยไฟฟ้าที่มีการกวนวน (Agitation)ต่ำ ทำให้ควบคุมความสม่ำเสมอของเนื้อเหล็กได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณการผลิตต่อครั้งไว้ โดยมักไม่เกิน 30 ตัน และ จะต้องมีกระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำเหล็กในเตาปรุง เช่น Ladle Furnace (LF) อีกขั้นตอนหนึ่ง ทั้งนี้ ประเทศไทยขาดวัตถุดิบจากการถลุงเหล็ก และขาดแคลนเศษเหล็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งเศษเหล็กคุณภาพดี จึงต้องนำเข้าเศษเหล็กประมาณ 20-25% หรือ 1.2-1.5 ล้านตันต่อปี จากความต้องการทั้งหมด 6 ล้านตันต่อปี ดังนั้นการคัดเลือกเศษเหล็กคุณภาพดีทั้งในทางปฏิบัติและความคุ้มค่าทางธุรกิจจึงเป็นไปได้ยากมาก
อนึ่ง ประเทศจีนซึ่งเคยมีการการผลิตเหล็กเส้นด้วยกระบวนการ IF มากที่สุดในโลกคือปีละกว่า 120 ล้านตัน ได้ประสบปัญหาอย่างยาวนานกับเหล็กเส้นคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานจากเตา IF จนในที่สุดรัฐบาลจีนได้สั่งยกเลิกการผลิตเหล็กเส้นก่อสร้างด้วยเตา IF ทั้งหมดของประเทศจีนในเดือนมิถุนายน 2560 (2017) แม้ว่าในประเทศไทยมีการแก้ไข มอก. ให้เพิ่มกรรมวิธี IF ดังกล่าวข้างต้นในปี 2559 (หรือประมาณ 1 ปีก่อนที่ประเทศจีนจะยกเลิกการผลิตเหล็กเส้นด้วยกระบวนการ IF ในปี 2560) ผู้เกี่ยวข้องจำเป็นต้องทราบและศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศจีนที่นำไปสู่พัฒนาการการยกระดับมาตรฐานคุณภาพเหล็กเส้นของประเทศจีนเพื่อนำข้อดีมาเป็นแบบอย่างในการปรับปรุง มอก. เหล็กเส้นของไทย และตัวอย่างสำคัญที่ทำให้ไทยต้องเข้มงวดกับมารฐานและคุณภาพของเหล็กเส้น คือ เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ดังนั้นจึงต้องพิจารณาว่ามีสิ่งใดที่มาตรฐานเหล็กเส้นไทยต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับที่ประเทศจีนได้ยกเลิกการผลิตด้วย IF โดยกำหนดกระบวนการผลิตให้มีเฉพาะ BOFและ EAF ทั้งยังกำหนดมาตรฐานเหล็กความแข็งแรงสูงสำหรับใช้งานในเขตแผ่นดินไหวขึ้นในมาตรฐานเหล็กเส้นจีน
เนื่องจากร่าง มอก.เหล็กเส้นก่อสร้าง อยู่ระหว่างการทบทวน จึงควรใช้โอกาสนี้ปรับปรุงให้สมบูรณ์ เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆที่พบอยู่ในปัจจุบัน และป้องกันปัญหาในอนาคต เช่น กำหนดคุณสมบัติของเหล็กเส้นให้มีความครอบคลุมเพียงพอที่จะตอบสนองกฎหมายอื่น เช่น มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2564 รวมทั้งพิจารณากำหนดกระบวนการผลิตให้มีเฉพาะ BOFและ EAF เช่นเดียวกับแนวทางการยกระดับมาตรฐานคุณภาพเหล็กเส้นของประเทศจีนและประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ
ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค กรณีโรงงานที่ถูกสั่งปิด เนื่องจากผลิตสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมอก. ขอให้มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดว่ามีกระบวนการผลิตที่เป็นไปตามข้อกำหนดมอก. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อที่ 5. วัสดุ การทำและส่วนประกอบทางเคมี อย่างเคร่งครัดทุกข้อ เช่น 5.2 (3) มีกระบวนการทำน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์ (refining process) อย่างเหมาะสม เช่น มีเตาปรุง (ladle furnace) เป็นต้น ก่อนการอนุญาตเปิดดำเนินการ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี