ดร.รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แม้ประเทศไทยจะมีสัดส่วนส่งออกรถยนต์ไปประทศสหรัฐอเมริกาน้อย แต่มาตรการภาษีนำเข้า Section 232 มีแนวโน้มส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการส่งออกรถยนต์ไทยไปตลาดโลก เพราะผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น ประเทศญี่ปุ่น และประเทศเกาหลีใต้ อาจกระจายส่งออกไปตลาดอื่นมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ซึ่งจะเพิ่มความรุนแรงของการแข่งขันในตลาดโลก

ในขณะเดียวกันมาตรการนี้กระทบโดยตรงต่อการส่งออกชิ้นส่วนไทยไปตลาดสหรัฐฯ โดยมีสัดส่วนประมาณ 26% ของมูลค่าส่งออกชิ้นส่วนไทย แต่ยางล้อขนาดเล็กของไทยยังได้เปรียบในด้านต้นทุนและคุณภาพ นอกจากนี้ประเทศไทยยังได้รับการยกเว้นภาษี Section 232 ตามมาตรการ Import Adjustment Offset ประมาณ 12% ของมูลค่าส่งออกชิ้นส่วน (ไม่รวมยางล้อ) ไปตลาดสหรัฐฯ มากกว่าญี่ปุ่นที่อยู่เพียง 3%

นางหทัยวัลคุ์ ตุงคะธีรกุล เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การรุกตลาดของค่ายรถจีนผ่านสงครามราคา ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยทั้งภาคการผลิตและบริการ หลังจากค่ายรถหลักเดิมสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดไทยและตลาดโลก เนื่องจากผู้บริโภคหันมานิยมรถไฟฟ้า (EV) จีนมากขึ้น

ในขณะเดียวกันประเทศออสเตรเลียซึ่งเป็นตลาดส่งออกรถสำคัญของประเทศไทย ได้ปรับมาตรฐานการปล่อย CO2 และระบบเบรกให้เข้มงวดขึ้นตั้งแต่ปี 2568 ซึ่งจะหนุนความต้องการรถยนต์ไฮบริดทั้ง HEV และ PHEV แต่ก็จะเป็นแรงกดดันความต้องการรถยนต์แบบสันดาปภายใน หรือ ICE ที่ประเทศไทยส่งออกเป็นหลัก ให้มีแนวโน้มลดลง

ดร.กฤตย์ สีตะธนี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การที่ประเทศไทยเลื่อนเป้า Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี ส่งผลให้ภาคขนส่งต้องเร่งปรับตัวเพิ่มสัดส่วนยอดขายรถ BEV ใหม่ โดยในปัจจุบันรถ BEV มีเพียง 1.2% ของรถยนต์สะสมทั้งหมด จึงยังมีช่องว่างอีกมากในการผลิตเพื่อทดแทนรถ ICE ทั้งหมดภายในปี 2593 ขณะเดียวกันผู้ผลิตชิ้นส่วนในตลาดหลักทรัพย์ฯประมาณ 65% ยังไม่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่บริษัทขนาดใหญ่เริ่มปรับตัวแล้ว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แนะนำผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย ที่เผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐฯ การแข่งขันรุนแรงจากค่ายรถจีน และมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด รวมทั้งการเร่งเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ และกระแสรถยนต์ EV ที่ขยายตัว จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์ เพื่อให้สามารถตอบสนองกับทิศทางของตลาดที่มีแนวโน้มสัดส่วนรถ ICE ที่ลดลง และมีสัดส่วนรถ HEV และ PHEV ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งจับตาโอกาสในการขยายตลาดของรถ BEV ด้วย