มุมมองนักบริหาร : ปี 2569 จุดเปลี่ยนพลังงานไทย กับบทบาทสำคัญของกองทุนน้ำมันฯ

มุมมองนักบริหาร : ปี 2569 จุดเปลี่ยนพลังงานไทย กับบทบาทสำคัญของกองทุนน้ำมันฯ

วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

** มีนักวิเคราะห์จากหลายสำนักคาดว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกในปี 2569 มีทิศทางที่จะลดลงจากปี 2568 เนื่องจากอุปทานในตลาดโลกเพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงผันผวนอีกหลายอย่างที่ต้องติดตาม ซึ่งจะทำให้สถานการณ์อาจมีความไม่แน่นอนอยู่

ทั้งนี้ นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน และอดีตผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง  กล่าวถึงในประเด็นนี้ว่า  สำนักงานสารนิเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) จะอ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับ 62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในปี 2569 ขณะที่โกลด์แมนแซคส์ คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบเบรนต์จะลดลงมาแตะที่ระดับ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในช่วงปลายปี 2569 โดยปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมันในปี 2569 ประกอบด้วย


1.อุปทานส่วนเกินนอกกลุ่ม OPEC+ : EIA คาดว่าปริมาณน้ำมันดิบทั่วโลกจะผลิตเพิ่มขึ้นมากกว่าความต้องการ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตนอกกลุ่ม OPEC+ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาลดลง 2.เศรษฐกิจโลก : การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นไปอย่างเชื่องช้า โดยเฉพาะการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่อันดับต้นๆของโลก อาจส่งผลให้อุปสงค์ลดลงและกดดันให้ราคาน้ำมันลดลงได้ 3.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ : สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่อรัฐเซีย ยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนให้แก่ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้

จากสถานการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันจะอ่อนตัวลงในปี 2569 โดยคาดว่าราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 60-65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และมีความเป็นไปได้ที่ราคาจะตกต่ำเหลือ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอย่างรุนแรง ประกอบกับความชัดเจนของนโยบายของรัฐบาลนี้ Quick Big Win ในส่วนของพลังงาน คาดว่าจะมีจุดเปลี่ยนพลังงานไทยที่สำคัญ ดังนี้ 1.เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง : คาดว่าประมาณการฐานะการเงินเป็นบวกในปลายปี 2568 ช่วยให้การบริหารราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้น จะได้เห็นราคาน้ำมันดีเซลเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 30-32 บาทต่อลิตร และราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จะสามารถตรึงไว้ได้ที่ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม

2.ปรับแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan : NEP) ฉบับใหม่ : แผนพลังงานชาตินี้เป็นแผนแม่บทที่เคยประกาศกรอบนโยบาย แนวทาง และมาตรการเพื่อให้ประเทศไทยสามารถมุ่งสู่พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ Carbon Neutrality มาตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2564 แล้ว ประกอบด้วยแผนย่อย 5 แผนด้วยกันคือ (1) แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) (2) แผนอนุรักษ์พลังงาน (EEP) (3) แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) (4) แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas Plan) และ (5) แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง (Oil Plan) ซึ่งแผนพลังงานชาติใหม่นี้ไม่ได้เป็นเพียงการปรับเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นในปี 2050 เท่านั้น แต่เป็นการปฏิรูปโครงสร้างพลังงานของประเทศครั้งใหญ่ เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานที่ยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติสู่ยุคคาร์บอนต่ำอย่างแท้จริง และทำให้ประเทศไทยมีความสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้

3.การเปิดกลไกใหม่ให้ทางภาคเอกชนมีส่าวนร่วมส่งเสริมสนับสนุนพลังงานเขียว : การที่จะบรรลุเป้าหมายคาร์บอนต่ำได้จะต้องเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมผ่านกลไกตลาดที่สำคัญคือ 1. Direct PPA (Direct Power Purchase Agreement) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจากพลังงานหมุนเวียน (RE) สามารถทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ใช้ไฟฟ้าเอกชนได้โดยผ่านบริการ Third Party Access (TPA) โดยมีโครงการนำร่องไปที่กลุ่มธุรกิจที่มีความต้องการพลังงานสะอาด เช่น Data Center เป็นต้น  2. Utility Green Tariff (UGT) : เสนออัตราค่าไฟฟ้าสีเขียวพร้อมใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมีทั้ง UGT ประเภทสีเขียวสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าแบบไม่เจาะจง แหล่งที่มาของไฟฟ้า (UGT1) และประเภทที่สามารถระบุแหล่งที่มาของพลังงานสีเขียวได้ (UGT2)

นอกจากนี้เพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ได้จะต้องมีการออก พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ร่าง พรบ. Climate Change) เพื่อเป็นกฎหมายหลักที่กำหนดมาตรการการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งส่ง Net Zero Emission ภายในปี 2050 โดยมีสาระสำคัญคือ ธุรกิจต้องรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีกลไกตลาดคาร์บอน (Carbon Market) และมีการสนับสนุนทางการเงินผ่านกองทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมีคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เพื่อเป็นกลไกหลักในการกำหนดนโยบายและกำกับดูแลให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

จุดเปลี่ยนพลังงานไทยในปี 2569 ที่กล่าวมาข้างต้นนี้จะสำเร็จได้ต้องอาศัยความสามารถของรัฐมนตรีพลังงานคนปัจจุบันในการขับเคลี่อน Qucik Big Win ที่ท่านได้ประกาศไว้ที่จะทำภายใน 4 เดือน ทั้งนี้ มีองค์ประกอบที่จะทำให้นโยบายนี้ประสพความสำเร็จได้พร้อมอยู่แล้ว ได้แก่  สถานการณ์ด้านราคาน้ำมันมีความเหมาะสม และข้อมูลต่างๆที่จะใช้ประกอบการตัดสินใจมีการศึกษามาระยะหนึ่งอยู่ครบถ้วนแล้ว ต้องอาศัยความกล้าหาญ ตั้งใจจริง คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว ประกอบกับประสบการณ์ของท่านที่มีอย่างมากมาย หวังว่าจะสามารถทำให้จะเปลี่ยนพลังงานไทยนี้เป็นไปได้ภายในต้นปี 2569

** อนันตเดช พงษ์พันธุ์ **

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top