Thailand’s Regulatory Reform : รีเซ็ตกฎเกณฑ์ภาครัฐ

Thailand’s Regulatory Reform : รีเซ็ตกฎเกณฑ์ภาครัฐ

วันพฤหัสบดี ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 15.34 น.

Thailand’s Regulatory Reform : รีเซ็ตกฎเกณฑ์ภาครัฐ เปลี่ยนเบรกเป็นคันเร่งเพิ่มประสิทธิภาพ เอื้อให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้

กฎเกณฑ์ภาครัฐไม่เอื้อ ฉุดไทยแข่งขันไม่ได้


ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC  ประเมินว่า อันดับความสามารถในการแข่งขันของไทย (โดย IMD 2025) ล่าสุดในปี 2025 ร่วงลงมาอยู่ที่อันดับ 30 จาก 69 ประเทศทั่วโลก (จากอันดับ 25 ในปี 2024) โดยเฉพาะด้าน “ประสิทธิภาพภาครัฐ” (Government efficiency) ที่ปรับแย่ลงมากสุดในรอบ 10 ปี ในบางมิติย่อยอันดับแย่ลงมาก เช่น ความโปร่งใส สินบนและคอร์รัปชัน การปรับนโยบายรัฐให้ทันสถานการณ์ และกฎหมายแข่งขันทางการค้า ในขณะที่มาเลเซียแซงไทยไปแล้ว อันดับการแข่งขันปรับดีขึ้นเป็น 23 (ปี 2024 อันดับ 34) มิติ Government efficiency นำไทย อยู่ที่อันดับ 25 (จากอันดับ 33 ปี 2024) สะท้อนชัดว่า กฎเกณฑ์และกลไกของภาครัฐไทยปรับตัวได้ช้า ประสิทธิภาพภาครัฐแข่งขันในโลกแย่ลง กลายเป็นหนึ่งตัวแปรสำคัญฉุดรั้งความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

บทเรียนจากประเทศเพื่อนบ้าน : เวียดนามเดินหน้าปฏิรูปกฎเกณฑ์จริงจัง

เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศในภูมิภาคที่มีความพยายามในการปฏิรูปเศรษฐกิจและปรับปรุงประสิทธิภาพของภาครัฐอย่างจริงจังผ่านการเริ่มปฏิรูปกฎหมายตั้งแต่ปี 2007 แม้เวียดนามจะไม่อยู่ในกลุ่มประเทศที่ IMD จัดอันดับ แต่เห็นพัฒนาการได้จากดัชนีการรับรู้การคอร์รัปชัน (Corruption Perceptions Index) โดยอันดับของเวียดนามปรับดีขึ้นสู่อันดับที่ 88 ในปี 2024 จาก 111 ในปี 2015 สวนทางกับอันดับของไทยที่ปรับลดลงสู่ 107 จาก 76 ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ เวียดนามยังมีแผนปฏิรูปด้านกฎเกณฑ์ภาครัฐและด้านเศรษฐกิจในระยะปานกลางอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีนี้ ซึ่งหากไทยยังไม่เร่งการปฏิรูปกฎเกณฑ์อย่างจริงจังและเป็นระบบ ประสิทธิภาพภาครัฐของเวียดนามจะยิ่งทิ้งห่างภาครัฐของไทยมากขึ้นเช่นกัน

ต้นตอของปัญหา : กฎหมายล้าสมัยและซับซ้อน

ไทยมีกฎหมาย-ใบอนุญาตกว่า 100,000 ฉบับ โดยกฎเกณฑ์ภาครัฐส่วนใหญ่ล้าสมัย ซ้ำซ้อน มีกระบวนการขั้นตอนมาก ใช้ดุลยพินิจสูง เปิดช่องคอร์รัปชันเพื่อเร่งรัดกระบวนการทางกฎหมาย เพิ่มต้นทุนแฝงให้ภาคธุรกิจและประชาชน อีกทั้ง ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะในช่วงที่โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมากเช่นทุกวันนี้

แม้ไทยเริ่มปฏิรูปกฎเกณฑ์ภาครัฐมานานแล้ว แต่ยังไม่เห็นผลชัดเจน

ปัญหา  Regulatory reform ไม่ใช่เรื่องใหม่ของไทย รัฐบาลที่ผ่านมาต่างตระหนักถึงปัญหานี้และพยายามปฏิรูปกฎเกณฑ์ภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การปฏิรูปยังไม่ค่อยเห็นผลเป็นรูปธรรม เพราะไทยขาดผู้นำที่มุ่งมั่นจริงจัง ขาดเจ้าภาพหลัก ขาดแรงจูงใจในระบบราชการให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง และขาดความต่อเนื่องทางการเมือง

ประเทศที่ปฏิรูปกฎเกณฑ์ภาครัฐได้สำเร็จ เช่น เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร และเวียดนาม ต่างมีปัจจัยร่วม คือ ผู้นำตั้งเป้าหมายปฏิรูปครั้งใหญ่และกำหนดกรอบเวลาชัดเจน การตั้งเจ้าภาพกลางที่มีอำนาจกำกับติดตาม การออกแบบระบบติดตามความคืบหน้าที่โปร่งใส รวมถึงการเปิดให้ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมให้ข้อมูลเพื่อปรับปรุง  

การปฏิรูปกฎเกณฑ์ไทย ต้องสร้างแรงจูงใจ และความร่วมมือทุกภาคส่วน

การปฏิรูปจะสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม สื่อ และนักวิชาการ

ภาครัฐ : ต้องริเริ่มตั้งเป้า “ปรับปรุงกฎเกณฑ์” ที่ล้าสมัย และ “อำนวยความสะดวกของภาครัฐ”

ด้วยระบบดิจิทัลแบบรวมศูนย์ข้อมูล

ภาคเอกชน : มีบทบาทร่วมชี้ปัญหาอุปสรรค และเสนอทางออก

ภาคประชาสังคม สื่อ และนักวิชาการ : มีบทบาทช่วยสื่อสารและตรวจสอบ

การปฏิรูปกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจรายสาขาอุตสาหกรรม อาจเริ่มต้นจาก 5 อุตสาหกรรมหลักที่ไทย

มีศักยภาพสูง สามารถแข่งขันโลกได้ ได้แก่ เกษตรและอาหาร, ท่องเที่ยว, การแพทย์และการส่งเสริมสุขภาพ (Medical & Wellness), ยานยนต์ และ Smart electronics ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้มีการจ้างงานต่อเนื่องจำนวนมาก และมีห่วงโซ่มูลค่าเชื่อมโยงกับภาคส่วนอื่นในระบบเศรษฐกิจสูง การเริ่มปฏิรูปกฎเกณฑ์ผลักดันอุตสาหกรรมศักยภาพสูงของประเทศจะช่วยสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ และเป็นต้นแบบขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่นได้ในอนาคต

อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร : ตัวอย่างนำร่องของการปฏิรูปกฎเกณฑ์

แม้ไทยมีศักยภาพสูงในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร แต่ยังต้องเผชิญอุปสรรคจากกฎเกณฑ์ภาครัฐ โดยปัญหาหลัก คือ (1) กฎเกณฑ์ล้าสมัย เช่น พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 ที่ไม่รองรับนวัตกรรมใหม่ เช่น Novel food โปรตีนจากพืช (2) ข้อกำหนดเข้มงวดเกินจำเป็น เช่น การบังคับแยกเครื่องจักรผลิตสมุนไพร หรือ พ.ร.บ. พันธุ์พืช ด้านข้อกำหนดเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ (3) บิดเบือนกลไกตลาด เช่น มาตรการนำเข้า 1:3 ที่เพิ่มต้นทุนวัตถุดิบให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ และ (4) ไม่เอื้อต่อนวัตกรรม เช่น ห้ามปลูกพืช GMO ในประเทศ

นอกจากนี้ การอำนวยความสะดวกของระบบราชการที่เป็นคอขวดสำคัญ คือ (1) ขั้นตอนขออนุญาตซ้ำซ้อน หลายหน่วยงาน ใช้เวลานาน (2) ระบบดิจิทัลไม่เชื่อมโยง ขาดพอร์ทัลกลาง (3) เจ้าหน้าที่ขาดความเชี่ยวชาญ และตีความกฎหมายไม่ตรงกัน ทำให้ธุรกิจเสียต้นทุน เสียเวลา และเสียโอกาสสร้างนวัตกรรมใหม่โดยไม่จำเป็น

Quick Win = ผลไม้สุกใกล้มือ ภาครัฐเริ่มได้ทันที

การปฏิรูปกฎเกณฑ์ภาครัฐไทย ไม่ต้องรอการแก้กฎหมายลำดับชั้นสูงรอผ่านสภาฯ แต่เริ่มได้ทันที โดย (1) “ตรงจุด” แก้/ยกเลิกกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ ผ่านมติ ครม. หรือประกาศกระทรวง ไม่ต้องรอแก้ พ.ร.บ. (2) “ต่อยอด” บังคับใช้กฎหมาย Regulatory Impact Assessment (RIA) จริงจัง เพื่อทบทวนกฎหมายทุก 3–5 ปี และ (3) “ตั้งคนกลาง” (Project Management Office : PMO) ทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐและทำงานร่วมกับภาคเอกชน กำกับแผนปฏิรูปให้เดินหน้าได้จริง ติดตามผลความคืบหน้า และสื่อสารโปร่งใส

- 030

 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top