วันพุธ ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เปิดเผยว่า ช่วง 10 เดือนของปี 2568 (มกราคม - ตุลาคม) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 869 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 228 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือ ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 641 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 276,736 ล้านบาท โดยมีจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่
1. ญี่ปุ่น 158 ราย คิดเป็น 18% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 78,285 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
- ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การออกแบบแม่พิมพ์และอุปกรณ์สำหรับการผลิตยานยนต์ การให้คำปรึกษาด้านเทคนิคเกี่ยวกับกระบวนการผลิตยานยนต์ เป็นต้น
- ธุรกิจบริการให้ใช้ระบบเทเลเมติกส์สำหรับบริหารจัดการและติดตามตรวจสอบสถานะรถยนต์
- ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และเครื่องใช้สำหรับแม่และเด็ก
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนเครื่องจักรสำหรับงานก่อสร้าง และเหล็กแผ่นเคลือบ
2. สหรัฐอเมริกา 127 ราย คิดเป็น 15% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 4,830 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
- ธุรกิจกิจการโฆษณา
- ธุรกิจบริการออกแบบ พัฒนา ติดตั้ง และบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์ม
- ธุรกิจบริการคิดค้น วิจัย และพัฒนาสูตรการผลิต ผลิตภัณฑ์จากผัก ผลไม้ และสินค้าการเกษตร
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น เครื่องประดับหรือชิ้นส่วนเครื่องประดับที่ผลิตจากโลหะมีค่า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ DC Cable และโลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ
3. สิงคโปร์ 126 ราย คิดเป็น 14% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 92,318 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
- ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อทำเครื่องเรือนและเครื่องใช้สอย
- ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ
- ธุรกิจบริการติดตั้ง บำรุงรักษา และซ่อมแซมเกี่ยวกับเครื่องจักร
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป สายสวนหัวใจ (Mapping and Ablation System Catheter) ไส้กรองอากาศ (Air Filter) และชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม
4. จีน 116 ราย คิดเป็น 13% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 25,404 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
- ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อการผลิตถ่านกัมมันต์
- ธุรกิจบริการรับจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์ตามความต้องการของลูกค้า
- ธุรกิจบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ โดยเป็นการทดสอบชิ้นส่วน หรือส่วนประกอบของอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ Flexible Printed Circuit Board ผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป และชิ้นส่วนเหล็กทุบขึ้นรูป
5. ฮ่องกง 93 ราย คิดเป็น 11% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 13,198 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
- ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อทำเครื่องเรือนและเครื่องใช้สอย
- ธุรกิจบริการขุดเจาะปิโตรเลียม ภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับสัมปทานในอ่าวไทย
- ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์ เช่น ระบบตรวจจับและป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น Rechargeable Battery ผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวมวลอัด ผลิตภัณฑ์กลุ่มภาพและเสียง และฟิล์มและบรรจุภัณฑ์พลาสติก
.jpg)
เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 พบว่า การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจ
ในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 83 ราย (11%) (เดือน ม.ค. - ต.ค. 68 อนุญาต 869 ราย / เดือน ม.ค. - ต.ค. 67 อนุญาต 786 ราย) และมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 115,567 ล้านบาท (72%) (เดือน ม.ค. - ต.ค. 68 ลงทุน 276,736 ล้านบาท / เดือน ม.ค. - ต.ค. 67 ลงทุน 161,169 ล้านบาท) รวมถึงมีการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวรวม 5,364 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2,331 คน (77%) (เดือน ม.ค. - ต.ค. 68 จ้างงาน 5,364 คน / เดือน ม.ค. - ต.ค. 67 จ้างงาน 3,033 คน) โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน
นอกจากนี้ ยังพบว่า การลงทุนของต่างชาติที่เข้ามา ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สูงถึง 424 ราย คิดเป็น 49% ของจำนวนการอนุญาตทั้งหมด 869 ราย มูลค่าลงทุน 210,101 ล้านบาท คิดเป็น 76% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด 276,736 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติของรัฐบาลที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรมอนาคต (Future Industries) เช่น เทคโนโลยีขั้นสูง ดิจิทัล AI ยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด และเกษตรอาหาร โดยประเภทธุรกิจที่ได้รับอนุญาตผ่านช่องทาง BOI สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
1. ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์โลหะ/พลาสติก ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น ซึ่งสนับสนุนการพัฒนา การผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
2. กิจการสนับสนุนการค้าและการลงทุน (TISO) ที่มีส่วนสำคัญในการเพิ่มบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนและโลจิสติกส์ในภูมิภาค
3. ธุรกิจบริการด้านคอมพิวเตอร์ เช่น พัฒนาซอฟต์แวร์ และ Data Center เป็นต้น โดยตรงกับเป้าหมายเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) และการพัฒนา Data Center และ AI Services
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในจังหวัดพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ ช่วง 10 เดือนของปี 2568 (มกราคม - ตุลาคม) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC 253 ราย คิดเป็น 29% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 2 ราย (1%) (เดือน ม.ค. - ต.ค. 68 ลงทุน 253 ราย / เดือน ม.ค. - ต.ค. 67 ลงทุน 251 ราย) โดยมีมูลค่าการลงทุนในจังหวัดพื้นที่ EEC 90,791 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยเป็นนักลงทุนจาก *จีน 65 ราย ลงทุน 17,882 ล้านบาท *ญี่ปุ่น 57 ราย ลงทุน 30,369 ล้านบาท *สิงคโปร์ 35 ราย ลงทุน 20,106 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 96 ราย ลงทุน 22,434 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ
- ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อการผลิตชิ้นส่วนของใช้ครัวเรือน สุขภัณฑ์
- ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม โดยการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ เช่น โครงรถประตูรถ แผงหน้าปัด เบาะนั่ง
- ธุรกิจบริการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล / บริการ Data Center
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น Printed Circuit Board Assembly (PCBA) ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป ผลิตภัณฑ์เคมีเพื่ออุตสาหกรรม
เฉพาะเดือนตุลาคม 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย 99 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 27 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 72 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 23,621 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจาก สิงคโปร์ จีน และ ญี่ปุ่น ตามลำดับ มีการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 232 คน รวมถึงมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการบำรุงรักษาระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติองค์ความรู้เกี่ยวกับการมาตรฐานระบบความปลอดภัยสารสนเทศ และองค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็ก เป็นต้น
สำหรับธุรกิจที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจในเดือนตุลาคม 2568 ได้แก่
- ธุรกิจบริการออกแบบ จัดซื้อ จัดหา ติดตั้ง ปรับปรุง พัฒนาระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ
- ธุรกิจโฆษณา
- ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาแนะนำ และฝึกอบรมด้านการดำเนินธุรกิจและด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
- ธุรกิจบริการออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับการดำเนินธุรกิจขององค์กร
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น Printed Circuit Board Assembly (PCBA) ผลิตภัณฑ์จากกระดาษรีไซเคิล ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมและเครื่องจักรอุตสาหกรรม เป็นต้น
-031
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี