แบงก์แนะประคองตัว ปี69ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจแผ่ว

แบงก์แนะประคองตัว ปี69ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจแผ่ว

วันพุธ ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ และผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  ปี 2569 กำลังจะเป็นอีกหนึ่งปีที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญแรงปะทะจากรอบด้าน ทั้งแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว การดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของประเทศมหาอำนาจ ตลอดจนความเปราะบางเชิงโครงสร้างภายในประเทศและความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง ปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2569 เป็นปีของการประคองตัวมากกว่าจะเป็นปีของการเติบโตแบบเร่งตัว โดยวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะเติบโตเพียง 1.8% ชะลอลงจากปี 2568 ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.1% เนื่องจากเครื่องยนต์สำคัญหลายด้านมีแนวโน้มแผ่วลง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก การบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ

ทั้งนี้ทิศทางของปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญมีดังนี้ 1. ภาคส่งออก คาดว่าจะเผชิญผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เต็มปี 2569 แม้ภาคส่งออกเคยได้แรงหนุนชั่วคราวในปี 2568 จากการเร่งสั่งซื้อสินค้าก่อนมาตรการภาษีนำเข้าใหม่จะมีผลบังคับใช้ (Front-loading) แต่ในปี 2569 การส่งออกสินค้าของไทยจะได้รับผลกระทบจากทั้งการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สู่อัตรา 19% ตลอดทั้งปี อีกทั้งยังได้รับผลจากภาษีนำเข้ารายสินค้าอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่มาตรการภาษีศุลกากรอาจครอบคลุมเพิ่มเติมไปยังสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทย


2. ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวแต่ไม่เต็มศักยภาพ โดยการฟื้นตัวยังค่อนข้างช้า โดยเฉพาะตลาดจีนซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทย เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยและการแข่งขันที่รุนแรงจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2569 ยังมีแนวโน้มต่ำกว่าระดับก่อนโควิดที่ราว 40 ล้านคนในปี 2562  3. การใช้จ่ายภาครัฐอาจชะลอลงตามข้อจำกัดทางการคลังและผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง แม้จะมีแรงพยุงจากการเบิกจ่ายงบเหลื่อมปี แต่ในปี 2569 การใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง เนื่องจากพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal space) ค่อนข้างจำกัด  4. การบริโภคภาคเอกชนเผชิญกำลังซื้ออ่อนแรงและถูกจำกัดด้วยปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่นระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูงกว่า 80% ของ GDP ประกอบกับรายได้ของครัวเรือนส่วนใหญ่หลังโควิดยังเติบโตช้ากว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้เกษตรกรยังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนการจ้างงานอาจได้รับผลกระทบจากความอ่อนแอของภาคส่งออก   5. การลงทุนภาคเอกชนแม้เติบโตช้า แต่ยังรักษาแรงส่งได้ แม้ภาคธุรกิจเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมือง มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ รวมถึงอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นช้า แต่การลงทุนภาคเอกชนยังมีสัญญาณเชิงบวกอยู่บ้าง อาทิ โครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และเม็ดเงิน FDI ที่ยังไหลเข้าประเทศโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียน เมื่อประกอบกับการผลักดันผ่านกลไก Thailand FastPass ของ BOI คาดว่าจะช่วยเร่งให้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมฯ เดินหน้าลงทุนได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ กระแสการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไทยมีโอกาสได้รับอานิสงส์จากโครงสร้างพื้นฐานและซัพพลายเชนที่เข้มแข็ง ดังนั้น ในปี 2569 การลงทุนภาคเอกชนจึงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top