วันศุกร์ ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ระบุว่า ttb analytics ประเมินเศรษฐกิจปี 2569 ขยายตัว 1.6% ชะลอลงจากปี 2568 ที่คาดว่าจะขยายตัว 2% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตต่ำสุดในรอบ 5 ปี จากการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จนถึงครึ่งแรกของปี 2569 ซึ่งแม้ว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากการขึ้นภาษีนำเข้าศุลกากรของทรัมป์จะไม่รุนแรงอย่างที่เคยประเมินไว้ แต่ปัจจัยชั่วคราวที่เคยช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากการเร่งส่งออกสินค้าซึ่งส่งผลบวกต่อกิจกรรมในภาคส่งออกและภาคอุตสาหกรรมจะทยอยหมดลง ขณะที่แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่เคยผลักดันเศรษฐกิจในอดีตก็มีข้อจำกัดในการเติบโต และยังไม่มีตัวไหนเป็นเครื่องยนต์ของเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ปัจจัยฉุดรั้งที่สำคัญในปี 2569 ประกอบด้วย 1.การชะลอตัวของภาคส่งออกจากหลายสาเหตุ ได้แก่ 1. ผลของการเร่งตัวผิดปกติในช่วงต้น (Front-loading) ในการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จึงทำให้ปริมาณสต็อกสินค้าในต่างประเทศค่อนข้างสูง 2. การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ จากผลกระทบของภาษีทรัมป์ที่จะเห็นชัดเจนขึ้นในปี 2569 และความกังวลจากภาวะฟองสบู่ในการลงทุนด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) 3. ความเสี่ยงจากการถูกตั้งกำแพงภาษีเพิ่มเติมภายใต้ข้อกฎหมายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะครอบคลุมกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงจะถูกสวมสิทธิ (Transshipment Risk) และสินค้าที่สำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ (Strategic Products) และ 4. การแข่งขันในสินค้าส่งออกของไทยในตลาดสหรัฐฯ และตลาดหลักอื่นที่จะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จากความเสียเปรียบด้านราคา
ส่วนปัจจัยลบที่ 2 คือการใช้จ่ายภาครัฐมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง แม้มีการส่งสัญญาณเลือกตั้งใหม่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2569 แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองคาดว่าจะยังคงอยู่และอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองในระยะต่อไป ซึ่งนอกจากจะกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการภาครัฐจำนวนมากในปีงบประมาณ 2569 แล้ว ยังอาจส่งผลให้การจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 มีความเสี่ยงที่จะล่าช้าออกไปจากช่วงเวลาปกติ นอกจากนี้ ข้อจำกัดด้านงบประมาณและความพยายามลดการขาดดุลทางการคลัง จะทำให้พื้นที่ทางการคลังที่เหลืออยู่ถูกดึงไปใช้แก้ไขปัญหาแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อประคองภาพเศรษฐกิจโดยรวมมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่
ขณะที่ปัจจัยลบที่ 3. คือการบริโภคภาคเอกชนมีข้อจำกัดในการเติบโตมากขึ้น ส่วนหนึ่งจากเม็ดเงินกระตุ้นการจับจ่ายถูกดึงมาใช้ตั้งแต่ปลายปี 2568 มาจนถึงต้นปี 2569 และอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อประชาชนและเม็ดเงินที่จะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี นอกจากนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูงเกินกว่า 80% ของจีดีพีมาเป็นระยะเวลายาวนานมากกว่า 10 ปี จะยังคงบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชนต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้แรงซื้อในหมวดสินค้าคงทน (เช่น รถยนต์และที่อยู่อาศัย) อาจยังไม่สามารถกลับสู่ระดับเดิมเหมือนในอดีต
ส่วนเสถียรภาพทางการเงิน ttb analytics ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในรอบการประชุมเดือนธันวาคมสู่ระดับ 1.25% ณ สิ้นปี 2568 พร้อมกับการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อลงในปี 2568-2569 มองไปข้างหน้า ttb analytics ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงอยู่ที่ 0.75-1% ณ สิ้นปี 2569 และสำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในปี 2569 คาดว่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐมีทิศทางแข็งค่าขึ้นได้บ้างในช่วงครึ่งแรกของปี ตามการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงต่อเนื่องตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ภาคท่องเที่ยวจะยังคงเป็นตัวแปรที่สำคัญ โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2569 จะอยู่ที่ประมาณ 34.5 ล้านคน หรือเติบโต 4.5% จากปีก่อน จากตลาดนักท่องเที่ยวในกลุ่มอินเดีย รัสเซีย และยุโรปที่คาดว่าจะยังขยายตัวได้ สวนทางกับตลาดนักท่องเที่ยวหลัก (อาทิ จีน อาเซียน และเกาหลีใต้) ที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ส่วนหนึ่งจากความสามารถในการดึงดูดการท่องเที่ยวของไทยลดลงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และใน มิติของรายได้จากการท่องเที่ยวคาดว่าจะเติบโตเพียง 4% โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริปยังต่ำกว่าปี 2562 จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว
สำหรับมิติของการลงทุนจากต่างชาติยังมีความท้าทายสูง โดยรูปแบบความต้องการลงทุนไม่ได้กระจายไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่มีห่วงโซ่การผลิตยาวหรืออุตสาหกรรมที่เน้นการผลิตจำนวนมาก (Mass Production) ซึ่งสามารถสร้างแรงกระเพื่อมต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานในวงกว้างอย่างที่เคยเป็นมา (เช่น ปิโตรเคมี การผลิตยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน เครื่องใช้ไฟฟ้า) แต่กลับมุ่งเป้าลงทุนในอุตสาหกรรมกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูงและอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมการให้บริการด้านเทคโนโลยีที่ยังมีห่วงโซ่การผลิตในประเทศค่อนข้างสั้น อาทิ ศูนย์ข้อมูล (Data Center) โครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์ (Cloud Infrastructure) และ AI เป็นต้น
นอกจากนี้โจทย์ท้าทายที่สำคัญของประเทศไทยคือ การยกระดับห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมดั้งเดิมให้เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมโลกผ่านการเพิ่มกฎเกณฑ์ด้านถิ่นกำเนิด (Local Content / RVC) เพื่อสร้างแรงจูงใจการสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งระบบห่วงโซ่การผลิต (System-level Incentive) รวมถึงการเปลี่ยน “มูลค่าการขอรับการสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่” ให้กลายเป็น “มูลค่าการลงทุนจริง” ภายในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการสร้างความพร้อมด้านทักษะแรงงาน ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน และความชัดเจนด้านนโยบายภาษีและกฎระเบียบในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี