บัวหลวงมองหุ้นโลกปี’69เป็นบวกหลังปรับฐาน

บัวหลวงมองหุ้นโลกปี’69เป็นบวกหลังปรับฐาน

วันอังคาร ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า บริษัทมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นโลกในปี 2569 แม้ในช่วงที่ผ่านมาตลาดมีการปรับฐานลงราว 5-10% จากแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม 2568 รวมถึงแรงกดดันด้านมูลค่าหุ้นที่สูง และปัจจัยมหภาคระยะสั้น

อย่างไรก็ดีมองว่าการปรับตัวครั้งนี้เป็นเพียง Healthy Correction หรือการปรับฐานก่อนเข้าสู่รอบการฟื้นตัวครั้งใหม่ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง ทั้งแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง,เศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังไม่เสี่ยงถดถอย และกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ยังเติบโตได้ดี


ทั้งนี้บริษัทจึงมองว่าเป็นจังหวะเหมาะสมในการเพิ่มน้ำหนักลงทุนใน “กองทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี” ซึ่งยังได้รับแรงหนุนจากกระแสการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยทีม Wealth Research แนะนำกลยุทธ์จัดพอร์ตลงทุนแบบ “Core-Satellite” เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งเป้าหมายระยะยาวและการแสวงหาโอกาสระยะสั้นผ่าน 5 ธีมการลงทุนที่มีศักยภาพเติบโตในเมกะเทรนด์ปี 2569 ได้แก่ AI Value Chain, Defense Tech, Quantum Computing, Health Tech และ Nuclear Energy

โดยแบ่งสัดส่วนดังนี้ 1.พอร์ตส่วนหลัก (Core) เน้นกองทุนใน 2 ธีมสำคัญ ประกอบด้วย “AI Value Chain” เช่น กองทุน ES-GTECH ลงทุนในกองทุนหลัก และ “Defense Tech” เช่น กองทุน LHSPACE-A ที่เน้นการลงทุนในเศรษฐกิจอวกาศที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

2.พอร์ตส่วนเสริม (Satellite) เน้นกองทุนใน 3 ธีม เพื่อรับโอกาส Repricing ครั้งใหญ่ เมื่อเทคโนโลยีเริ่มสร้างกระแสเงินสดและตลาดให้มูลค่าสูงขึ้น ประกอบด้วย “Quantum Computing” เช่น กองทุน LHQTUM-A ที่ลงทุนในบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่เกี่ยวข้องกับ Quantum & AI Ecosystem ครบวงจร ทำให้ได้ประโยชน์จากการเติบโตของ AI ที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ,“Health Tech” เช่น กองทุน KKP GHC-A เน้นลงทุนหุ้น Healthcare ทั่วโลก และ “Nuclear Energy” เช่น กองทุน PRINCIPAL GCLEAN-A ที่ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานนิวเคลียร์ และยูเรเนียมทั่วโลก

นายชัยพร กล่าวว่า ในช่วงปลายปี 2568 ผู้มีเงินได้สามารถใช้โอกาสจากภาวะตลาดผันผวน เพื่อวางแผนลดหย่อนภาษี พร้อมสร้างความมั่นคงทางการเงินระยะยาว ผ่านผลิตภัณฑ์ลงทุนเพื่อการออม 2 ประเภท ได้แก่ 1.กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เหมาะสำหรับผู้วางแผนเกษียณ และต้องการกระจายการลงทุนไปตลาดต่างประเทศ โดยต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปี และถือถึงอายุ 55 ปี ใช้สิทธิลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน รวมไม่เกิน 500,000 บาท

2.กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้สิทธิ RMF ครบแล้ว และต้องการขยายโอกาสลดหย่อนเพิ่มเติม หรือสนใจลงทุนในหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทยที่เข้าเกณฑ์ ESG โดยต้องถือครอง 5 ปี (ไม่นับปีปฏิทิน) ลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 300,000 บาท ในปี 2568 ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจาก RMF และ Thai ESG ควบคู่กันได้

ทั้งนี้กลยุทธ์วางแผนภาษีให้คุ้มค่า บริษัทแนะนำลงทุนใน RMF เพื่อเปิดโอกาสลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี AI ที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง ส่วน Thai ESG ควรใช้เป็นการลงทุนในสินทรัพย์การลงทุนในไทย เพื่อทำให้พอร์ตกองทุนภาษีโดยรวมมีความสมดุลมากขึ้น

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top