วันพุธ ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยปี 2569 โตแค่ 1.5% ต่ำสุดในรอบ 3 ทศวรรษ (ไม่นับช่วงปีวิกฤต) พร้อมเปิด 7 คำถามกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทย
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2569 จะโตแค่ 1.5% ต่ำสุดในรอบ 3 ทศวรรษ (ไม่นับช่วงปีวิกฤต) ชะลอตัวลงจาก 2.0% ในปี 2568 โดยมีแรงกดดันหลักมาจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า และการแข่งขันรุนแรงจากต่างประเทศ และจากข้อจำกัดเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยที่ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเปราะบางในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่กระทบต่อกำลังซื้อและการลงทุนในประเทศ และข้อจำกัดการคลังภายใต้ความไม่แน่นอนทางการเมือง จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ไทยต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างเครื่องยนต์ใหม่ ยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจ ควบคู่กับการสร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจรองรับความผันผวนที่รุนแรงขึ้น
เปิด 7 คำถามชี้ชะตาเศรษฐกิจไทยปี 2569
1. สงครามการค้าและการแข่งขันจากภายนอกกระทบไทยอย่างไร? การส่งออกเสี่ยงจะหดตัว 1.5%
จากผลกระทบภาษีสหรัฐฯ การแข่งขันรุนแรงขึ้น และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ขณะที่ท่องเที่ยวแม้เริ่มฟื้นตัว ขยายตัวประมาณ 4% แต่ยังจะต่ำกว่าระดับก่อนโควิดค่อนข้างมาก โดยมีความท้าทายจาก Tourism war
ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น และความกังวลต่อประเด็นความปลอดภัยเพิ่มเติมจากกรณีขัดแย้งกับเพื่อนบ้านที่รุนแรงขึ้น
2. การบริโภคภาคเอกชนจะได้รับผลกระทบจากความเปราะบางด้านรายได้และหนี้ครัวเรือนอย่างไร? รายได้แรงงานโตช้า ท่ามกลางตลาดแรงงานและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เปราะบางขึ้น จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น ขณะที่ภาระหนี้ครัวเรือนเมื่อเทียบกับรายได้ยังอยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงการชำระหนี้ที่เริ่มกระจายไปยังกลุ่มรายได้กลาง-สูงมากขึ้น ครัวเรือนจึงมีแนวโน้มระมัดระวังการใช้จ่ายท่ามกลางกระบวนการลดหนี้ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง (Debt deleveraging)
3. การลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวได้หรือไม่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนในหลายมิติ? การลงทุนภาคเอกชนยังจะขยายตัวได้บ้างจากแรงหนุนของเม็ดเงินต่างประเทศในอุตสาหกรรมใหม่ผ่านการส่งเสริมของ BOI เป็นสำคัญ แต่การลงทุนลักษณะนี้จะมี Import content สูง ทำให้การลงทุนอาจไม่สร้างประโยชน์ได้เต็มที่ต่อการผลิตในประเทศในระยะสั้น และอาจเพิ่มความเสี่ยง Transshipment tariff กับสหรัฐฯ ในช่วงข้างหน้า ขณะที่การลงทุนของธุรกิจไทยทั้งด้านเครื่องจักรและด้านก่อสร้างจะมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องจากกำลังซื้อในประเทศที่ซบเซา และอัตรากำลังการผลิตที่ยังต่ำ
4. ภาวะการเงินที่ตึงตัวจะมีการปรับตัวที่ดีขึ้นหรือไม่? ในปี 2568 แม้ กนง จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง
แต่ภาวะการเงินตึงตัวขึ้นมากจากสินเชื่อภาคครัวเรือนและ SME ที่หดตัว และค่าเงินบาทที่แข็งตัวมาก
ในปี 2569 SCB EIC ประเมินว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 1.0% ภายในครึ่งแรกของปีหน้า เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจผ่านการลดต้นทุนทางการเงินและลดแรงกดดันการแข็งค่าของเงินบาท รวมทั้งเพื่อยกระดับเงินเฟ้อที่น่าจะอยู่ต่ำกว่าเป้าในปีหน้า แต่การเข้าถึงสินเชื่อของครัวเรือนและ SME น่าจะยังท้าทายต่อเนื่อง เนื่องจากฐานะการเงินครัวเรือนและ SME ยังคงเปราะบางท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ทำให้สถาบันการเงินจะยังระมัดระวังการปล่อยสินเชื่ออยู่ มาตรการภาครัฐจึงจะมีความสำคัญทั้งมาตรการสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้แก่ภาคครัวเรือน และมาตรการ Soft loan และการค้ำประกันสินเชื่อแก่ SME อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของมาตรการทางการเงินเหล่านี้ ต้องมาพร้อมมาตรการด้านการเพิ่มรายได้ของภาคครัวเรือน และการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับ SME ด้วย
5. การเมืองไม่แน่นอน กระทบการคลังและเศรษฐกิจอย่างไร? การยุบสภาเร็วขึ้นกว่าไทม์ไลน์เดิมจะทำให้การเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2569 ต่ำกว่าปกติ แต่อาจช่วยให้การประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2570 ล่าช้าน้อยลง อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนข้างหน้ายังสูง และการใช้จ่ายภาครัฐในระยะกลางจะมีข้อจำกัดมากขึ้น
จากแรงกดดันปฏิรูปการคลังเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณและควบคุมหนี้สาธารณะ ซึ่งจะเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาลใหม่ในการสร้างความเชื่อมั่นต่อสถาบันเครดิตเรตติงและเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว
6. การปฏิรูปเชิงโครงสร้างคือทางออก เริ่มแล้วจะยั่งยืนแค่ไหน? เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องเผชิญแรงกดดันรอบด้าน การปฏิรูปเชิงโครงสร้างเป็นทางออกของประเทศที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาครัฐจำเป็นต้องสานต่อสิ่งที่เริ่มไว้แล้วและเร่งเดินหน้านโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง โดยเน้นนโยบายระยะยาวเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เน้นการยกระดับนโยบายสนับสนุนภาคธุรกิจ และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจร่วมกับภาคเอกชน เช่น การคลายอุปสรรคการลงทุน และการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพผ่านแพลตฟอร์มการปฏิรูปประเทศร่วมกับภาคเอกชน (Reinvent Thailand)
7. ธุรกิจไหนไปต่อได้ ปรับตัวอย่างไรให้อยู่รอด? ทิศทางธุรกิจไทยจะถูกขับเคลื่อนบนความท้าทาย 5 ด้าน คือ ความผันผวนของห่วงโซ่อุปทานการค้าโลก, กำลังซื้อภาคครัวเรือนที่เปราะบาง, ความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐ, การแข่งขันรุนแรงในประเทศและต่างประเทศ และแรงกดดันจากเมกะเทรนด์ ภาพรวมธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ในปี 2569 จะยังมีแนวโน้มชะลอตัว ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจ (Subsegment) ที่สามารถปรับตัวและรับมือความเสี่ยงเหล่านี้ได้ดีจะมีโอกาสเติบโตและใช้ประโยชน์จากเมกะเทรนด์ได้ เช่น ธุรกิจที่นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ธุรกิจที่รองรับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและกระแสความยั่งยืน และธุรกิจที่เจาะตลาด
ทั้งนี้ SCB EIC มองเศรษฐกิจโลกปี 2569 จะขยายตัวชะลอลงเหลือ 2.5% (จาก 2.7% ปีนี้) ปัจจัยกดดันหลักจากมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่จะทำให้การค้าโลกชะลอตัวลง หลังเร่ง Front-loadingแต่เศรษฐกิจโลกจะได้แรงขับเคลื่อนหลักจากการลงทุน AI โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และนโยบายการเงินการคลังผ่อนคลาย แม้ข้อจำกัดนโยบายเริ่มชัดขึ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ปีหน้าจะต่ำลงอีก แต่อาจลดเพิ่มไม่มากจากปัญหาเงินเฟ้อ Fedมีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยอีก 50 bps ขณะที่ ECB จะคงดอกเบี้ยต่ำไว้ที่ 2% สวนทางกับ BOJ ที่จะทยอยขึ้นดอกเบี้ยไปที่ระดับ 1% ในช่วงกลางปีหน้า
ทำไมเศรษฐกิจไทยปี 2569 อาจโตต่ำสุดในรอบ 30 ปี (ไม่นับช่วงวิกฤต)? SCB EIC ชวนหาคำตอบผ่าน 7 คำถามสำคัญ
SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะขยายตัวเพียง 1.5% ลดลงจาก 2% ในปี 2568 ซึ่งนับว่าต่ำสุดในรอบ 3 ทศวรรษ (ไม่นับช่วงวิกฤติ) สะท้อนแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้าและการแข่งขันจากต่างประเทศรุนแรงขึ้น ทั้งสินค้านำเข้าและการท่องเที่ยว ตลอดจนความเปราะบางภายในประเทศ ทั้งครัวเรือน ธุรกิจ และข้อจำกัดทางการคลัง ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมา ทำให้ไทยต้องเร่งปฏิรูปโมเดลเศรษฐกิจอย่างจริงจัง
7 คำถามกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทย : จากโค้งสุดท้ายปี 2568 สู่ปี 2569
1. สงครามการค้าและการแข่งขันจากภายนอกกระทบเศรษฐกิจไทยอย่างไร?
แม้การส่งออกไทยจะขยายตัวสูงในปี 2568 แต่แนวโน้มปี 2569 มีโอกาสพลิกกลับมาหดตัวจากหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่ (1) เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัว ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการค้าและผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ชัดเจนขึ้น (2) แรงหนุนจากการเร่งส่งออกก่อนขึ้นภาษี (Front-loading) กำลังหมดไปหลังสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสูงตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีนี้ (3) ความเสี่ยงจากการตั้งกำแพงภาษีเพิ่มเติมของสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าสวมสิทธิ และ (4) การแข่งขันจากจีนทวีความรุนแรงขึ้น หลังสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงลดภาษีตอบโต้อัตราสูงเป็นเวลา 1 ปี ทำให้สินค้าจีนอาจกลับมาชิงส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ ได้มากขึ้น ทั้งนี้การส่งออกและนำเข้าของไทยยังมีความเสี่ยงจากข้อสรุปการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่อาจล่าช้า ท่ามกลางกรณีขัดแย้งกัมพูชาที่รุนแรงขึ้นและความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังการยุบสภาเร็วกว่ากำหนด
สำหรับภาคการท่องเที่ยวปี 2569 คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นจากปี 2568 มาอยู่ที่ราว 34.1 ล้านคน แต่การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป การแข่งขันด้านท่องเที่ยว (Tourism war) ในเอเชียที่มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น รวมถึงกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาที่ยังยืดเยื้อ ล้วนจะเป็นความท้าทายสำคัญต่อการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทย
2. การบริโภคภาคเอกชนจะได้รับผลกระทบจากความเปราะบางด้านรายได้และหนี้ครัวเรือนอย่างไร?
การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่องในปี 2569 จากหลายปัจจัย โดยรายได้ครัวเรือนฟื้นตัวช้า ท่ามกลางตลาดแรงงานที่เปราะบางมากขึ้นในปีนี้ สะท้อนจากการจ้างงานและชั่วโมงทำงานที่ลดลง ข้อมูลจาก SCB EIC Consumer survey ปี 2568 ชี้ว่า ผู้บริโภคยังเผชิญปัญหารายได้โตช้ากว่ารายจ่าย โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้น้อย ขณะที่ภาระหนี้ยังอยู่ในระดับสูงและความเสี่ยงการชำระหนี้เริ่มกระจายไปสู่กลุ่มรายได้สูงมากขึ้น นอกจากนี้ สินเชื่อด้อยคุณภาพยังทรงตัวในระดับสูง ทำให้ครัวเรือนต้องลดการใช้จ่ายเพื่อลดหนี้ (Deleveraging) ซึ่งจะเป็นแรงกดดันการบริโภคในระยะข้างหน้า
3. การลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวได้หรือไม่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนในหลายมิติ?
การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวได้ในปีหน้า แต่อยู่ในระดับต่ำ แรงหนุนสำคัญมาจากมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโอกาสสร้างเครื่องยนต์การลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เช่น ดาตาเซ็นเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่รองรับตลาดอาเซียน ทำให้ไทยยังคงเป็นส่วนหนึ่งของฐานการผลิตสำคัญในโลกได้ อย่างไรก็ตาม ผลบวกจากการลงทุนต่อเศรษฐกิจอาจไม่มาก เนื่องจากสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบและชิ้นส่วน (Import content) ของไทยสูงขึ้นมากจากอดีต โดยเฉพาะการนำเข้าจากจีน ทำให้การลงทุนไม่ได้สร้างประโยชน์เต็มที่ต่อภาคการผลิตในประเทศ และยังเพิ่มความเสี่ยงต่อประเด็น Transshipment tariff กับสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ธุรกิจไทยยังเผชิญความสามารถทำกำไรที่ลดลงต่อเนื่องและมีสัดส่วนหนี้ที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการลงทุนในภาพรวม
4.ภาวะการเงินที่ตึงตัวจะมีการปรับตัวที่ดีขึ้นหรือไม่?
ในปี 2568 แม้ กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง แต่ภาวะการเงินตึงตัวขึ้นมากจากสินเชื่อภาคครัวเรือนและ SME ที่หดตัว และค่าเงินบาทที่แข็งตัวมาก ในปี 2569 SCB EIC ประเมินว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 1.0 % เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำผ่านการลดต้นทุนทางการเงินและลดแรงกดดันการแข็งค่าของเงินบาท และเพื่อยกระดับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายให้สูงขึ้น ลดความเสี่ยงของภาวะ Debt deflation ที่อาจกดดันการใช้จ่ายในประเทศในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ดี การลดดอกเบี้ยนโยบาย อาจไม่ช่วยให้สินเชื่อครัวเรือนและ SME ปรับตัวดีขึ้นมากนัก เนื่องจากฐานะการเงินครัวเรือนและ SME ยังคงเปราะบางท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ทำให้สถาบันการเงินจะยังระมัดระวังการปล่อยสินเชื่ออยู่ ทั้งนี้การสำรวจฐานะทางการเงินของผู้บริโภคล่าสุด พบว่า ปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญทำให้ปัญหาภาระการชำระหนี้ยังอยู่ในระดับสูงโดยเฉพาะครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง และมีสัญญาณว่า ปัญหานี้ได้ลามไปถึงกลุ่มรายได้ปานกลางถึงสูงด้วย มาตรการภาครัฐจึงจะมีความสำคัญทั้งมาตรการสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้แก่ภาคครัวเรือน และมาตรการ Soft loan และการค้ำประกันสินเชื่อแก่ SME ทั้งนี้ ความสำเร็จของมาตรการทางการเงินเหล่านี้ ต้องทำควบคู่กับมาตรการด้านการเพิ่มรายได้ของภาคครัวเรือน และการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับ SME ด้วย
5.การเมืองไม่แน่นอน กระทบการคลังและเศรษฐกิจอย่างไร?
ความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังการยุบสภาในวันที่ 12 ธ.ค. ส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการคลัง โดยคาดว่าการเบิกจ่ายงบลงทุนในปีงบประมาณ 2569 จะทำได้น้อยกว่าปกติ ขณะที่การจัดทำ พ.ร.บ. งบประมาณปี 2570
มีแนวโน้มล่าช้าบ้าง ซึ่งจะทำให้การเบิกจ่ายงบลงทุนช่วงต้นปีงบประมาณ 2570 ต่ำกว่าปกติ แม้ผลกระทบอาจไม่รุนแรงมาก แต่ความไม่แน่นอนยังสูง นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐในระยะกลางจะเผชิญข้อจำกัดการคลังมากขึ้น จากความพยายามปฏิรูปการคลังเพื่อลดขนาดการขาดดุลงบประมาณและควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะ ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาลใหม่ในการสร้างความเชื่อมั่นต่อสถาบันเครดิตเรตติงและเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว
6.การปฏิรูปเชิงโครงสร้างคือทางออก เริ่มแล้วจะยั่งยืนแค่ไหน?
เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้าและความเสี่ยงต่อการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ รวมถึงความเปราะบางภายในประเทศที่สะสมมานาน ทำให้การปฏิรูปเชิงโครงสร้างกลายเป็นทางออกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไทยจำเป็นต้องสานต่อและเร่งเดินหน้านโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง โดยเน้นนโยบายระยะยาวเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เน้นการยกระดับนโยบายสนับสนุนภาคธุรกิจ และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจร่วมกับภาคเอกชน เช่น การคลายอุปสรรคการลงทุน และการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพผ่านแพลตฟอร์มการปฏิรูปประเทศร่วมกับภาคเอกชน (Reinvent Thailand)
7.ธุรกิจไหนไปต่อได้ ปรับตัวอย่างไรให้อยู่รอด?
ในปี 2569 ทิศทางธุรกิจไทยจะถูกขับเคลื่อนด้วยความท้าทาย 5 ด้าน ได้แก่ (1) ความผันผวนของห่วงโซ่อุปทานการค้าโลก (2) กำลังซื้อครัวเรือนที่เปราะบาง (3) ความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐ (4) การแข่งขันรุนแรงทั้งในประเทศและต่างประเทศ และ (5) แรงกดดันจากเมกะเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยภาพรวมความเสี่ยงด้านลบมีน้ำหนักมากกว่าด้านบวก ทำให้ภาพรวมธุรกิจในปี 2569 ยังมีแนวโน้มชะลอตัว กลุ่มที่ชะลอตัวและยังมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก ได้แก่ ภาคการผลิต (อิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์, ปิโตรเคมี และเหล็ก) รวมถึงภาคอสังหาฯ ที่ยังซบเซาต่อเนื่อง ขณะที่ภาคบริการ เช่น ท่องเที่ยวและค้าปลีก ยังเติบโตได้ท่ามกลางความเสี่ยงที่ต้องรับมือ
อย่างไรก็ตาม บางกลุ่มธุรกิจหรือแม้แต่ธุรกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว หากสามารถปรับตัวได้ ก็ยังมีโอกาสเติบโตและอาศัยประโยชน์จากเมกะเทรนด์ได้ เช่น ธุรกิจที่นำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ หรือปรับตัวสอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภค
ยุคใหม่และความยั่งยืน รวมถึงธุรกิจที่สามารถกระจายตลาดหรือเจาะกลุ่มที่มีศักยภาพแทนได้ อย่างไรก็ดี
การปรับตัวของภาคธุรกิจยังต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐ ผ่านมาตรการเชิงรุกระยะสั้น เช่น การกระตุ้น
อุปสงค์ สร้างความเชื่อมั่น และเสริมสภาพคล่อง รวมถึงมาตรการระยะยาวในการขจัดอุปสรรค ปรับโครงสร้าง และเสริมความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมเดิม พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมศักยภาพให้เติบโตอย่างยั่งยืน
เศรษฐกิจโลกจะชะลอลงปีหน้าตามผลกระทบกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่จะชัดเจนขึ้น
เศรษฐกิจโลกปี 2569 มีแนวโน้มชะลอลงคาดว่าจะขยายตัว 2.5%YOY จาก 2.7%YOY ในปี 2568 ปัจจัยสำคัญที่กดดันมาจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบเต็มปี ทำให้การค้าโลกชะลอตัวหลังหมดแรงหนุนจาก Front-loading แม้การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ตามกระแส AI จะยังเติบโตได้ดี การลงทุนเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งด้านการลงทุนภาคเอกชนและความมั่งคั่งผ่านราคาสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ AI ขณะเดียวกันการลงทุนในเทคโนโลยีและดาตาเซ็นเตอร์ยังส่งผลดีต่อประเทศตลาดเกิดใหม่ที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี นโยบายการเงินและการคลังในโลกยังผ่อนคลาย แต่ข้อจำกัดเริ่มชัดขึ้น บางประเทศสิ้นสุดวัฏจักรการลดดอกเบี้ย ขณะที่บางประเทศยังมีแรงกดดันเงินเฟ้อ ส่วนนโยบายการคลังเผชิญข้อจำกัดจากต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น และหนี้สาธารณะสูง ทำให้การสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะต่อไปมีข้อจำกัดมากขึ้น
นโยบายการเงินโลกในปี 2569 ยังคงผ่อนคลาย (ยกเว้นญี่ปุ่น) แต่ความสามารถในการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมมีจำกัด เนื่องจากธนาคารกลางส่วนใหญ่ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมามากแล้วในปีนี้ และจะเข้าสู่ช่วงสิ้นสุดวัฏจักรลดดอกเบี้ยในปีหน้า SCB EIC ประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยอีก 50 bps ก่อนจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 จากความเสี่ยงเงินเฟ้อ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าจะคงดอกเบี้ยที่ 2% ไว้ตลอดปี ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มทยอยขึ้นดอกเบี้ยสู่ 1.25% ภายในปีหน้า หลังข้อมูลการปรับเพิ่มค่าจ้างประจำปีชัดเจนขึ้น
ความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจโลกในปี 2569 ได้แก่ (1) ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า โดยเฉพาะมาตรการภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ อยู่ระหว่างการพิจารณา ทั้งภาษีรายสินค้า เช่น อิเล็กทรอนิกส์ และ Transshipment tariff (2) ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ จากท่าทีของสหรัฐฯ ที่ลดการสนับสนุน NATO และยุโรปลงมาก รวมถึงความตึงเครียดทางการทูตระหว่างญี่ปุ่น-จีน (3) ความเสี่ยงในตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะราคาสินทรัพย์กลุ่ม AI ที่อาจปรับฐานลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และ (4) ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาพอากาศสุดขั้วและภัยธรรมชาติจะรุนแรงขึ้นทั่วโลก
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี