วันจันทร์ ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2568
** นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Driving Thailand Toward Sustainable Wealth : เปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยเพื่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน” ในงานสัมมนาใหญ่ประจำปี “Thailand Next Move 2026 : Wealth Creation ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความมั่งคั่งยั่งยืน” จัดโดย วารสารการเงินธนาคาร
นายวิทัย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในยุคของอัตราการเติบโตที่ลดต่ำลง จนกลายเป็น New Normal ซึ่งเป็นการเติบโตที่ช้ากว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากหลายปัญหาในเชิงโครงสร้าง อาทิ ปัญหาด้านขีดความสามารถในการแข่งขัน ปัญหาด้านผลิตภาพการผลิต (Productivity) ปัญหาเรื่องแรงงาน ปัญหาสังคมสูงวัยที่ส่งผลทำให้กำลังซื้อลดลง ปัญหาด้านการศึกษา รวมถึงปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง ฯลฯ ขณะเดียวกันประเทศไทยขาดการลงทุนมานาน โดยอาศัยการเติบโตจากอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีเก่า อาศัยการเติบโตจากบุญเก่า นี่จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน และทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถเติบโตได้ตามศักยภาพ อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำสูง ดังนั้นแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง และนโยบายการเงิน การจะทำให้เศรษฐกิจโตถึงศักยภาพในปัจจุบันที่ 2.7% จึงยังไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่
“ธปท.คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะเติบโตที่ประมาณ 2.2% แต่คาดการณ์การเติบโตในปี 2569 ได้ถูกปรับลดลงเหลือเพียง 1.5% และคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในปี 2570 ที่ 2.3% แต่ศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันระดับศักยภาพของเศรษฐกิจไทยเหลือเพียงประมาณ 2.7% หากประเทศไทยไม่มีการลงทุนใหม่หรือขยายศักยภาพ อัตราการเติบโตสูงสุดที่จะเจออาจจะไม่เกินระดับนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง”
ทั้งนี้ปัญหาที่ฉุดรั้งการเติบโตเศรษฐกิจไทยนั้นมีหลายประการ แต่สามารถสรุปปัญหาเชิงโครงสร้างได้เป็น 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1.ผลิตภาพต่ำ (Low Productivity) ไทยยังคงอยู่กับอุตสาหกรรมเก่าและขาดการลงทุนใหม่มาเป็นเวลานาน ซึ่งส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันไม่เพิ่มขึ้น การลงทุนของไทยแทบไม่เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านมีการลงทุนเติบโตสูงกว่าไทยถึง 2-3 เท่า 2.ภูมิคุ้มกันต่ำ (Low Resilience) ระดับหนี้ของประเทศอยู่ในระดับสูงมาก โดยหนี้ภาคครัวเรือนอยู่ที่ 87% ของ GDP และหนี้ภาคธุรกิจก็สูงถึง 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ ปัญหาหนี้ครัวเรือน และ NPL ที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อและการบริโภคต่ำลง 3.ความเหลื่อมล้ำสูง (High Inequality) เกิดภาวะเศรษฐกิจไทยเติบโตแบบ K-Shape โดยธุรกิจขนาดใหญ่ยังคงแข็งแกร่งและมีผลประกอบการที่ดี แต่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) และประชาชนทั่วไป ประสบปัญหาอย่างหนัก โดยเฉพาะเรื่องการเข้าถึงสินเชื่อสินเชื่อของ SMEs ติดลบต่อเนื่องมาเป็นเวลา 13 ไตรมาส ในขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่มีจำนวนน้อย หรือมีสัดส่วน 2% แต่มีรายได้คิดเป็น 83% ของรายได้ธุรกิจทั้งหมด
ด้านการดำเนินนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ได้ดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อวาน (17 ธ.ค.2568) กนง.ได้ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% จนเหลือ 1.25% ทำให้การปรับลดดอกเบี้ยรวมในช่วงประมาณ 1 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.25% หรือคิดเป็น 5 ครั้ง และปรับลดครั้งละ 0.25% โดยระดับดอกเบี้ยที่ลดลงนี้มาถึงปัจจุบันถือเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี
“ดอกเบี้ยนโยบายต่อเศรษฐกิจมีจำกัดมาก เนื่องจากปัญหาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญอยู่เป็น ปัญหาเชิงโครงสร้าง การลดดอกเบี้ยนโยบายจึงไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต่างๆ เช่น ผลิตภาพที่ต่ำลงได้ เห็นได้จากการลดดอกเบี้ยนโยบาย 4 ครั้งก่อนหน้านี้ รวม 1% ในช่วง 12 เดือน มีผลต่อการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ต่ำกว่า 0.2% แม้จะมีผลจำกัด แต่ ธปท. ยังจำเป็นต้องใช้เครื่องมือนี้ เนื่องจากเป็นมาตรการที่ช่วย บรรเทาภาระให้กับประชาชนและธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ในการจ่ายหนี้ได้”
นายวิทัย กล่าวอีกว่า ธปท.ตัดสินใจปรับเปลี่ยนบทบาทให้เป็นมากกว่าการวิเคราะห์ แต่จะเป็นผู้นำในการเข้าไปแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยใช้การผสมผสานระหว่างนโยบายการเงิน และมาตรการการเงินเฉพาะจุด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและสร้างความยั่งยืน ซึ่ง ธปท.จะทำตามหลักการที่เคยมีมา คือ ยืนตรง มองไกล ยื่นมือ ติดดิน คำว่า ยืนตรง คือ อยู่บนหลักการ ,มองไกล คือ ดูไปข้างหน้า ,ยื่นมือ คือช่วยประชาชน ,ติดดิน คือการอยู่กับสังคม โดยเชื่อว่า ธปท.สามารถทำในส่วนของ “ยื่นมือ” และ “ติดดิน” ได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน การติดอยู่กับคนกับปัญหาเป็นสิ่งที่ ธปท.ปรับตัวเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่ดอกเบี้ยนโยบายทำไม่ได้
ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย ที่นโยบายการเงินตามปกติ ไม่สามารถทำได้เต็มที่ ตามที่ ธปท.ได้ปรับบทบาทมาเป็นผู้นำในการเข้าไปแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมาตรการที่เริ่มกันไปแล้ว เรื่องแรกคือ การแก้ปัญหาหนี้ NPL รายย่อย ผ่านการโอนบัญชีหนี้เสีย (NPL) รายย่อยที่มีหนี้ ไม่เกิน 100,000 บาท เข้าสู่บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) โดยมาตรการนี้ครอบคลุม 1.6 ล้านบัญชี หรือ 1.2 ล้านราย คิดเป็นมูลค่าหนี้ประมาณ 43,000 ล้านบาท มีเป้าหมายเพื่อให้มีการแก้ไขหนี้อย่างจริงจัง และให้ลูกหนี้สามารถกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้
มาตรการต่อมาคือ มาตรการชดเชย Credit Cost สำหรับสินเชื่อปล่อยใหม่ให้กับ SMEs เป็นความร่วมมือกับกระทรวงการคลัง และธนาคารพาณิชย์ เพื่อค้ำประกันสินเชื่อใหม่ วงเงินสินเชื่อรวม 100,000 ล้านบาท ที่จะมีการลงนามในสัปดาห์หน้า โดยมุ่งเน้นช่วย SMEs ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายคือธุรกิจที่มีศักยภาพและสอดคล้องกับ “Reinvent Thailand” เช่น ท่องเที่ยว, เกษตรแปรรูป, ยานยนต์ไฟฟ้า, อิเล็กทรอนิกส์, และโลจิสติกส์ มีการชดเชยความเสียหาย (Max Claim) ประมาณ 15-30% ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมาย มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
มาตรการที่ 3 คือ มาตรการด้าน Financial Inclusion หรือ การดึงคนฐานรากเข้าสู่ระบบ โดย ธปท.มีแผนจะออกชุดมาตรการเพื่อดึงคนฐานรากที่ไม่สามารถกู้ได้ (unbanked) เข้าสู่ระบบสินเชื่อ โดยมีเป้าหมายให้กู้ไปทำธุรกิจ ทำมาหากิน ไม่ใช่กู้เพื่อการบริโภค มาตรการที่ 4 คือ มาตรการด้าน Fairness หรือ ความเป็นธรรมทางการเงิน ความเหลื่อมล้ำสูง ธปท.จะทำเรื่องความเป็นธรรมในระบบสินเชื่อ เช่น การแก้ไขเรื่องการขายพ่วงประกัน หรือการเก็บค่าธรรมเนียมบางตัวที่สูงเกินไป, รวมถึงการลด Transaction Cost และ Accreditation Cost ที่ไม่จำเป็น ซึ่งเป็นต้นทุนที่ฉุดรั้งไม่ให้คนเข้าถึงสินเชื่อได้
นายวิทัย กล่าวอีกว่า สิ่งที่ต้องการสื่อสารคือ ไม่ควรเน้นการวิเคราะห์ปัญหาเพียงอย่างเดียว เนื่องจากในทุกวันนี้มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่ออกมาแสดงความเห็นผ่านโซเชียลมีเดียอยู่เสมอ ซึ่งอาจมีทั้งผู้ที่มีความรู้จริงและผู้ที่ไม่มีความรู้จริง รวมถึงบุคคลที่ผลิตคลิปวิดีโอเพื่อสร้างบทบาททางการเมือง หรือมุ่งหวังจะเป็น influencer ไม่ว่าจะมีความรู้ในเรื่องนั้นจริงหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นจึงเห็นการวิเคราะห์ปัญหาต่างๆจากหลากหลายแหล่งอยู่ตลอดเวลา ปัญหาของประเทศไทยไม่ได้อยู่ที่การขาดผู้วิเคราะห์ แต่ขาดคนที่ลงมือทำจริงๆ เราจึงควรร่วมมือกันลงมือแก้ไขปัญหา ธปท.ก็จำเป็นต้องปรับตัว เพราะไม่สามารถดำเนินงานแบบเดิมไปได้ ตลอดยุคสมัยที่ผ่านมาการตีความบทบาทของ ธปท.อาจแตกต่างไปบ้าง
“ผมเห็นว่าเราต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างและเศรษฐกิจจำนวนมาก สำหรับธปท.เอง ไม่ควรมีบทบาทเพียงแค่การวิเคราะห์สถานการณ์เท่านั้น แต่ควรเป็นผู้นำในการเข้าไปแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเน้นการแก้ไขปัญหาในระยะยาว มากกว่าการเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงระยะสั้น หรือดำเนินการในเรื่องที่ไม่จำเป็น เป้าหมายของ ธปท.ควรเป็นการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศในระยะยาว”
** อนันตเดช พงษ์พันธุ์ **
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี