nn เริ่มแล้ว การรับฟังความคิดเห็นในวงจำกัด(Focus Group) กลุ่มแรก กรณีการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ทรู กับ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกจาก 3 ครั้ง โดยครั้งแรกเป็นเรื่องอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องครั้งที่ 2 เป็น Focus Group ผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์และครั้งที่ 3 เป็นผลกระทบต่อผู้บริโภค ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตาม ประกาศ เรื่องมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ของ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
โดยรองศาสตราจารย์ ดร.ศุภัช ศุภัชลาศัย กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ได้กล่าวในการเปิดการประชุมว่า การควบรวมของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) กสทช.ยังมีอำนาจในการกำกับดูแลผู้ได้รับใบอนุญาตเช่นเดิมและต้องมองบริการให้ครบทั้ง ธุรกิจต้นน้ำปลายน้ำ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องด้วย จะมองเพียงแค่บางบริการในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไม่ได้ ทั้งนี้มีความเข้าใจผิดว่า มีการแก้กฎหมายเพื่อการควบรวมแต่ยืนยันอีกครั้งว่า กระบวนการการดำเนินการเป็นไปตามประกาศ เรื่องมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม โดยผู้รับใบอนุญาตที่ประสงค์ที่จะทำการควบรวมธุรกิจได้ยื่นรายงานต่อเลขาธิการ กสทช. ซึ่งเลขาธิการ กสทช. ก็จะแต่งตั้งที่ปรึกษาอิสระประกอบรายงานการรวมธุรกิจ โดยที่ปรึกษาจัดทำความคิดเห็นและเลขาธิการ กสทช. รายงานต่อ กสทช. ใน 90 วัน
ทั้งนี้ หาก กสทช. มองว่า การรวมธุรกิจส่งผลให้ ดัชนี HHI มากกว่า 2,500 หรือเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากว่า 100 หรือมีอุปสรรคการเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น หรือครอบครองโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเพิ่มขึ้น ให้ถือว่า การรวมธุรกิจส่งผลกระทบต่อการแข่งขัน ในตลาดที่เกี่ยวข้อง กสทช.อาจพิจารณากำหนดเงื่อนไข หรือนำมาตรการเฉพาะสำหรับผู้มีอำนาจ เหนือตลาดอย่างมีนัยสำคัญในตลาดโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้องมาบังคับใช้
“หากนับจำนวนผู้เล่นในตลาด ต้องมองให้ครบทุกบริการ จะเลือกมองส่วนแบ่งตลาด เพียงแค่บางบริการไม่ได้ โดยนอกจากนับจำนวนซิม ที่มีซ้ำกันในตลาดแล้ว ต้องมองบริการให้ครบทุกชนิด จะมองว่า มีผู้ให้บริการเพียง 2 รายไม่ได้ โดยต้องมองให้ครบทั้งบริการ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อาทิ บริการต้นน้ำ ที่บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ NT มีส่วนแบ่งตลาด 67.42% เป็นต้นทั้งนี้ผู้ให้บริการต้นน้ำ (Vertical Industry) ทาง NT เป็นผู้ให้บริการที่ครอบคลุมที่สุด”
ข้อสังเกตจากการแสดงความคิดเห็นสามารถสรุปได้เป็น 10 ประเด็นที่สำคัญ คือ 1.มุมมองจากบริษัทเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ตัวแทนบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ฝากไว้ 3 ประเด็น ประเด็นว่า ผูกขาดหรือไม่ให้ดูรายได้ และจำนวน คำถาม คือ อันนี้เป็นการพิจารณาทุกมิติว่าผูกขาดแล้วหรือไม่ เราควรพิจารณาเรื่องกำไร ของ Operator แต่ละราย เพื่อให้รายที่ 2, 3 ไม่สามารถแข่งขันได้ ประเด็นที่สอง เมื่อกำไรมากกว่าเจ้าอื่น จะทำให้เกิดการบริหารต้นทุนที่ดีกว่า เช่นต้นทุนความถี่ ซึ่งต้นทุนความถี่เป็นภาระของผู้ประกอบการ และต้องมีเงินทุนด้านโครงข่าย ความถี่ไม่ได้มีไว้ขาย กสทช. มีหน้าที่จัดสรร แต่กสทช. ไปสร้างต้นทุนการแข่งขัน จนเกิด Die Fast or Die Slow ดังนั้น ผู้ประกอบการกลัวจะตายต้องเอาความถี่ไว้ก่อน แต่ไม่มีกำลังไปลงเนตเวิร์ก ข้อที่ 3 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราประมูล 5G เรามีการกักตุนความถี่หรือไม่ บางรายได้ไป ก็ยังไม่มีการลงทุน การจะใช้การรวมบริษัทแก้ปัญหาเรื่องนี้หรือไม่ สุดท้ายธุรกิจโทรคมนาคมไม่เหมือน 3 ปีที่แล้ว ทำกำไรแทบไม่ได้ ตลาดอิ่มตัวต่างประเทศ จึงมองว่า ทำอย่างไร จะสร้าง DigitalTransformation ให้กับประเทศไทย แต่ผู้ใช้บริการ 5G ยังมีไม่ถึง 5% เราควรเร่งการลงทุนเพื่อยกระดับประเทศแบบเกาหลีใต้ได้หรือไม่
2.มุมมองจากนักลงทุน มองว่า สนับสนุนใน 3 มิติ ซึ่งมองว่า หากไม่ให้เกิดการควบรวม จะเกิดการผูกขาด จะเห็นได้ว่า บริษัท เอไอเอส (AWN) เป็นผู้นำตลาดในแทบทุกกลุ่ม หากห่วง
เรื่องการผูกขาด ต้องมองกำไรจากการดำเนินธุรกิจหากดูผู้เล่น 3 รายแรก บริษัทที่มีส่วนแบ่งสูงสุดคือ เอไอเอส นั่นเอง ในขณะที่บริษัททรู มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 2 มีการลงทุนต่อเนื่อง แต่ขาดทุนมาโดยตลอด ในขณะที่ ดีแทค ลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้สอดคล้องเหมือนบริษัท 1, 2ของอุตสาหกรรม ถ้าเราไม่ให้เค้าควบรวม เอกชนทั่วไปต้องแสวงหากำไร หากยังอยากให้ลงทุนแต่ไม่ให้ปรับตัว และสร้างกำไรไม่ได้ ก็ยากในการดำเนินธุรกิจ และทำให้บริษัทเอไอเอส ผูกขาดมากขึ้นไปอีก ในการศึกษาบริษัทโทรคมนาคมในต่างประเทศ จะพบว่า ประเทศไทยลงทุน 5G และกำลังจะไปต่อที่ 6G ซึ่งต้องการการลงทุนสูงมาก หลังคาตึกมีเสาสัญญาณจะเห็นการทับซ้อนของผู้เล่นการประหยัดต้นทุนและส่งประโยชน์ไปให้ผู้บริโภคจะดีกว่า การลงทุนแบบแข่งขันมาก ทุกตำแหน่งมี 3 เสาต้นทุนเพิ่ม ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์ได้อย่างไร
3.มุมมองจากนักกฎหมาย มองการจัดการประชุมโฟกัสกรุ๊ป แบบนี้ถูกต้องหรือไม่มีกฎหมายรับรองหรือไม่ การจัดการรับฟังลักษณะนี้ข้อมูลที่ได้จะไม่สามารถนำไปใช้ได้เลย หากทำไม่ถูกวิธีการ ผลของการวิจัยจะคลาดเคลื่อน กลุ่มตัวอย่างไม่เป็นไปตามหลักการวิจัยหรือไม่การควบรวมหรือไม่ สนใจแค่บริการมีคุณภาพหรือไม่ และ กสทช. เป็นตัวแปรสำคัญที่มีอิทธิพล ในการกำหนดมาตรฐานในการให้บริการ จึงจะเป็นธรรม จะมีผู้เล่นกี่ราย กฎเกณฑ์เป็นอย่างไร กสทช. เป็นคนกำกับอยู่แล้ว การใช้ดุลพินิจของ กสทช. ยึดผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง กสทช. ต้องระวังติดหล่มประเด็นทางกฎหมาย ทำให้ กสทช. สุ่มเสี่ยงหากเดินกระบวนการโดยไม่มีกฎหมายรองรับ และสุดท้ายประชาชนจะได้ประโยชน์
4.มุมมองจากซัพพลายเออร์ มองว่า ธุรกิจโทรคมนาคม เป็นธุรกิจที่ลงทุนสูง แต่สำหรับประเทศไทยมีความพิเศษ ตรงที่ค่าคลื่นก็สูงแทบจะที่สุดในโลกด้วย จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่ผู้ประกอบการทุกรายในปัจจุบัน จะสามารถลงทุนต่อเนื่องได้ ในมุมมองของซัพพลายเออร์ ย่อมอยากให้ผู้ประกอบการไทย แข็งแรง การมีเพียงรายเดียวที่แข็งแรง ไม่ได้ทำให้ซัพพลายมีอำนาจต่อรอง แต่หากมีการแข่งขันสูงของผู้ประกอบการที่มีพื้นฐานใกล้เคียงกันมากขึ้น จะเป็นการเร่งการลงทุน ซึ่งซัพพลายเออร์จะได้ประโยชน์ จากการซื้อสินค้ามากขึ้นนั่นเอง
!!เอาล่ะ...ด้วยข้อจำกัดด้านพื้นที่“โลกการค้า” ของอนุญาตผู้อ่านจบไว้ตรงนี้ก่อน ในประเด็นที่เหลืออีก 6 ข้อ และบทสรุปตอนท้าย จำนำเสนอในโอกาสต่อไป (เร็วๆ นี้) ครับผม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี