วันจันทร์ ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / บันเทิง
star Retro : อาชีพที่เลือกแล้วของ ‘เขียด’ นภาพร หงสกุล!?

star Retro : อาชีพที่เลือกแล้วของ ‘เขียด’ นภาพร หงสกุล!?

วันอาทิตย์ ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558, 06.00 น.
Tag :
  •  

มอบความบันเทิงให้กับผู้ชมมาอย่างยาวนานสำหรับนักแสดงอาวุโส “เขียด” นภาพร หงสกุล ที่เรามักจะคุ้นภาพกับบทแม่นมผู้ใจดีและอบอุ่น ตลอดชีวิตบนเส้นทางสายบันเทิงของแม่เขียดเป็นอย่างไร “สตาร์เรโทร” สัปดาห์นี้ขอพาทุกท่านย้อนวันวานไปพร้อมๆ กันค่ะ

สำหรับละครที่เพิ่งจบไปคือเรื่อง “เจ้านาง” ที่เล่นเป็นแม่นมของพระเอก “เติ้ล-ธนพล” ส่วนอีกเรื่องที่กำลังถ่ายทำอยู่คือ “คู่หู” เล่นเป็นแม่นมอีกเช่นกันแต่คราวนี้เปลี่ยนมาอยู่ฝั่งนางเอก (มีงานแสดงอย่างต่อเนื่อง?) บางปีก็มีเรื่องหนึ่ง บางปีก็ไม่มีเลย มีปีนี้ที่ฟลุคหน่อยได้ 2 เรื่อง การรับงานเราไม่ได้กะเกณฑ์อะไรมากมายหรอกค่ะ ส่วนมากแม่จะไม่ค่อยบอกเรื่องรายได้ ไม่ค่อยอยากเรียกร้อง คือให้เขาตั้งมาว่าจะให้เราเท่าไหร่ยังไง แต่ส่วนมากทางผู้ใหญ่เขาก็จะคะยั้นคะยอว่าจะต้องบอกให้ได้ไม่งั้นเขาเสนอไม่ได้ เราก็เลยจำเป็นต้องบอกไปว่าเราได้จากเรื่องนี้เท่าไหร่ เราก็เอาแบบอย่างจากเรื่องแรกว่าเราได้เท่าไหร่ จะให้เราเท่านี้หรือยังไงก็ว่ามาค่ะ


ภาพจำที่คนดูมักจะคุ้นตาก็คือบทแม่นม

ใช่ค่ะ ถ้าเริ่มต้นนี่ต้องมาจากเอ็กแซ็กท์เรื่อง “ทอฝันกับมาวิน” เพราะว่าเราได้เล่นเป็นแม่นมของพ่อพระเอก ต่อมาจนถึงตัวพระเอกคือ “ฟลุค-เกริกพล” สมัยก่อนเล่นกับเอ็กแซ็กท์ประจำจนเขาเรียกว่า แม่นมประจำเอ็กแซ็กท์ (ยิ้ม) ซึ่งสมัยนั้นเรายังแข็งแรงกว่านี้ หลังๆ ก็ห่างกันไปเพราะว่าเราร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ แล้วเขาก็ทำแต่เรื่องที่มีแต่คนหนุ่มๆ สาวๆ ทำแต่เรื่องสมัยใหม่ (ความรู้สึกกับบทแม่นม?) ดีใจค่ะ เพราะว่าเราก็เล่นสบายๆ ไม่หนัก คือเล่นตัวดีๆ เป็นคนดีมันสบายๆ แต่ถ้าย้อนไปในสมัยก่อนนั้น แม่ก็ได้รับบทที่หลากหลายมาก เป็นแม่เล้า แม่ค้า ชาวบ้าน ไปตามเรื่องตามราว ส่วนมากถ้าจักรๆ วงศ์ๆ เขาก็จะให้เราอยู่กับพวกตัวอิจฉา เป็นสนมตัวแสบ

ก้าวแรกของการแสดง

เหมือนต่อเนื่องมาน่ะค่ะ แม่เป็นนักแสดงมาตั้งแต่เด็กๆ คุณพ่อคุณแม่เป็นนักแสดง คือละครเวทีของโบราณเป็นละครร้องหรือที่เรียกว่าละครเร่ เร่ไปเหมือนลิเก ซึ่งจะเล่นเป็นเรื่องๆ เราก็จะเล่นตั้งแต่อายุ 2-3 ขวบแล้ว เรื่องที่เล่นถ้าพูดชื่อไปคนสมัยนี้คงจะไม่รู้จัก แต่จะมีรู้จักอยู่เรื่องหนึ่งคือ “อาญารัก” จริงๆเป็นละครร้องมาก่อน “คุณสำเนาว์ หิริโอตัปปะ” เป็นผู้ประพันธ์ แล้วเขามาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “จำลักษณ์” คุณสำเนาว์อยู่ละครเร่มาเหมือนกัน แล้วเขาเป็นคนตั้งชื่อให้แม่ว่า “นภาพร” ตอนที่ได้เล่นเป็นนางเอก เพราะว่าชื่อเก่าแม่ชื่อ “ชรินทร์”

ก้าวสู่วงการบันเทิง

พอหนังมา ทีวี.มา ละครเร่ก็จางลงเริ่มไม่มีอาชีพนี้ เราจะไปทำอะไรกิน ก็เลยตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ พ่อแม่ (คุณพ่อทองชวน-คุณแม่เจริญใจ หงสกุล)ก็มีบ้านพัก แต่ว่าไม่ได้เป็นดารา เพราะว่าละครเร่ไม่เกี่ยวกับดารา คือเราจะไปต่างจังหวัด จริงๆ เป็นคนกรุงเทพฯ แต่ว่าละครเร่จะเร่ไปฉายตามต่างจังหวัดก็เลยเปรียบโรงละครเหมือนบ้าน 5 วันนอนตำบลนี้2 วันไปตำบลนั้น ไปทุกภาค เราก็เลยเหมือนโตมาในโรงละคร ที่ซึมซับชอบการแสดงมาตั้งแต่เด็กๆ มันเหมือนฝังหัวค่ะ เราอาศัยที่ว่าเวลาเล่นละครเร่ เราก็ได้ร้องเพลงหน้าม่าน ก็เลยเอาวิชานี้มาอยู่ตามวงดนตรี จนกระทั่งมาอยู่กับวง “ป๋าเหน่” (เสน่ห์ โกมารชุน) ป๋าเหน่เขาทำหนังและมีวงด้วย เราก็มาเป็นนักร้องประจำ ป๋าเหน่เขามีมุขตลกเยอะ ก็เลยต้องมีตลกสลับเล่นกับดนตรี เขาก็เอาเราไปเล่นเป็นตัวผู้หญิงให้ตัวตลกเล่นบ้างจนกระทั่งวันหนึ่งป๋าเหน่ได้เล่นละครที่ช่อง 5 เราก็ยังไม่เคยเล่นละครทีวี. แต่ป๋าเขารู้ว่าเราเป็นนักแสดงและรู้ว่าอาชีพนี้เป็นยังไง แล้วพอดีว่า “ชูศรี มีสมมนต์” เขาเล่นต่อไม่ได้ คือละครสมัยก่อนเดือนหนึ่งเล่นครั้งหนึ่งแล้วเล่นสดๆ คนจะดูละครต้องรอเดือนหนึ่งถึงจะได้ดูตอนหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นชูศรีเขามาเล่นต่อไม่ได้ตัวนี้ก็ขาด เป็นแค่บทคนใช้แต่เป็นตัวสำคัญ เพราะว่าเป็นคนใช้ที่เด็กกว่าเพื่อน แล้วก็จะเจ๊าะแจ๊ะกับพวกผู้ใหญ่ไปเรื่อย ป๋าเหน่ก็เลยแนะนำให้พี่ “เทิ่ง สติเฟื่อง”เอาเราไปเล่น บอกว่าเราเป็นเด็กในวงเขา เขาก็ให้รถมารับแล้วก็ไปซ้อมเล่น เราก็โอเคเล่นได้ เหมือนเลือดมันมีอยู่แล้ว และละครสมัยนั้นไม่ได้ท่องบท คือเขามีคนบอกบท เราก็มาอ่านให้เข้าใจอารมณ์ คำพูดเดี๋ยวจะมีคนบอกให้ เราก็เล่นได้ ตอนนั้นเล่นเรื่อง “คุณหญิงพวงแข” เป็นครั้งแรกที่ได้เล่นละคร แล้วหลังจากนั้นพี่เทิ่งเขาก็เห็นวิธีการแสดงเขาก็ไปพูดกับป๋าเหน่ว่าเด็กคนนี้ใช้ได้ ก็เลยได้เล่นละครของพี่เทิ่งทุกเรื่อง ได้รับบทเป็นสาวใช้เป็นเพื่อนนางเอกบ้าง แต่ส่วนมากจะเล่นเป็นคนใช้ของนางเอก ละครสมัยก่อนต้องมีคนสวน คนขับรถ แม่ครัว เขาเรียกว่านางตาม มีทุกเรื่องไม่เหมือนละครสมัยนี้ สมัยก่อนเขาถือว่าตัวพวกนี้เป็นน้ำจิ้ม ต้องออกมาช่วยปรุงรสให้กับละคร (เริ่มชอบการแสดงละครหรือยัง?) ชอบมาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ ไม่ได้มองหาอาชีพอื่นที่จะประกอบ หนึ่งคือเราไม่มีความรู้ สองเราไม่มีทุน ที่บ้านก็ฐานะต่ำ คนเราสมัยก่อนที่เป็นละครเร่ เป็นนักแสดงค่าตัวไม่กี่ตังค์ กินกันเป็นรายวัน ค่าตัว ตัวพ่อตัวแม่ได้ 20-30 บาทต่อวัน นางเอกได้มากหน่อย 50 บาท แต่ว่าหากินเองทุกอย่างนะ เพราะฉะนั้นเงินจะไม่มีเก็บ ถึงบอกว่านักแสดงสมัยก่อนไม่ได้รวย รับประกันได้ไม่มีรวยไม่เหมือนสมัยนี้

เมื่อวิวัฒนาการของละครทีวี.เปลี่ยนไป

หนังก็เริ่มหดลง ดาราหนังก็ย้ายกันเข้ามาเล่นละครทีวี.กันหมด คนที่เคยพูดว่าไม่ชอบหรอกทีวี. ดาราทีวี.ต่ำก็เข้ามา สำหรับตัวแม่เองก็เล่นทั้งหนังและละครมาอยู่แล้ว หนังเล่นสมัย “มิตร ชัยบัญชา” บทบาทก็เป็นเหมือนในละครค่ะ เป็นตัวตามพระเอก-นางเอกเป็นพี่เลี้ยง แล้วสมัยนั้นเสื้อผ้าตัวแสดงต้องหาไปเองนะคือตัวที่ต่อจากพระเอก-นางเอกลงมาจะต้องหาเองหมด ยกเว้นพระเอก-นางเอกที่เขาจะหาให้ แม่มีผ้าถุงเกือบ 200 ตัว เพราะเล่นทั้งหนังทั้งละครเราก็ไม่อยากให้ซ้ำแล้วคนดูจำได้ ผ้าถุงจะต้องมีแยกเป็นผ้าโสร่ง ผ้าซิ่น ผ้าไทย แล้วแต่เนื้อเรื่อง แต่งหน้าทำผมก็ทำกันเอง ไปถ่ายหนังกันทีต้องแบกกันไปเป็นกระเป๋า อยากสวยยังไงก็หาเอง (ครีเอทตัวเองอย่างไรว่าจะต้องสวยแบบไหน?) เราดูจากบท แม่เป็นคนที่เล่นอะไรก็แล้วแต่จะไม่เว่อร์ อ่านจากบทจากคาแร็กเตอร์ก่อน แต่หนังเขาไม่มีบทให้อ่านเราก็จะไปถามผู้กำกับฯว่าจะให้เล่นลักษณะไหน ก็จะมีคนบอกโทนของเสื้อผ้าว่าแบบไหนเรียบร้อย ฉูดฉาด (บทบาทที่ชอบ?) ถ้าเล่นสบายๆ ก็ต้องเป็นแม่นม แต่ถ้าเราจะโชว์หรือเรากล้าแสดงออกเราก็ต้องเล่นตามที่เขาให้มา อย่างเช่นแม่เล้า ซึ่งบทนี้จะไม่ค่อยมีใครกล้าเล่น เพราะว่ามันต้องหยาบคายจัดจ้าน แต่งตัวเปรี้ยวสีสันมาก ซึ่งในหนังจะได้เล่นบ่อย

เคยนับไหมว่าเล่นหนังเล่นละครมาแล้วกี่เรื่อง

ไม่เคยเลย แต่คิดว่าเป็นร้อยขึ้น คือเราเป็นนางตามพี่เลี้ยงพระเอก-นางเอก “มิตร ชัยบัญชา” เราก็เคยเล่น พอมา “พี่แอ๊ด-สมบัติ” เราก็ได้เล่นตามเขาอีก “ไชยา สุริยัน” ตอนเขากำลังดังเราก็ได้เล่นด้วยอีก คือได้มีโอกาสหมดเลย แค่จัดคิวตัวให้ได้ก็แล้วกัน ถ้าตัวตามนางเอกก็จะมีตาม “มี้-พิศมัย”, “เพชรรา เชาวราษฎร์”

ผลงานที่ประทับใจ

หนังไม่มีผลงานอะไรมากมายที่ประทับใจ คือได้ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าละครเรื่อง “ประชาชนชาวแฟลต” เรื่องนี้ทำให้แม่ดัง คือเป็นบทชาวบ้านธรรมดาซึ่งอยู่แฟลต ผัวขับแท็กซี่ เราเหมือนเป็นหัวหน้าเด็กหิ้วกระติกน้ำมาอันหนึ่งรอรับผัวขับแท็กซี่กลับมา แล้วทีนี้มันก็เห็นทุกอิริยาบถของคนในแฟลต เดี๋ยวคนนั้นหิ้วผู้ชายมา คนนี้หิ้วผู้หญิงมา เดี๋ยวห้องนั้นทะเลาะกันตีกัน ซึ่งต้องยกให้ “พี่สมชาย นิลวรรณ” คนเขียนบทเขียนได้เก่งมาก แล้วตัว “อีตุ่ม” เนี่ยวันๆไม่ทำอะไร (อ้อ...ชื่อเล่นอีกชื่อของแม่มาจากเรื่องนี้นี่เอง) ใช่ค่ะ เล่นทีแรกเราก็คิดว่าคงเป็นไปตามธรรมชาติของการแสดงแต่ปรากฏว่า คนติด ก็เลยดังขึ้นไปเรื่อย คนส่วนใหญ่ก็จะชอบตัวละครตัวนี้ เราเล่นเองก็สนุกเพราะว่าเป็นเรื่องของชาวบ้านจริงๆ พี่สมชายเข้าใจชีวิตของคนที่อยู่แฟลตเพราะว่าตัวแกเองก็อยู่แฟลตก็เลยเอามาเล่าให้ “ครูเล็ก-ภัทราวดี” ฟัง ก็เล่นกันยาวเป็นร้อยกว่าตอนเลย เรียกว่าเป็นละครซิทคอมเลยก็ว่าได้ ตัวละครหลักก็จะเล่นยาวไปเลย ก็เลยประทับใจเรื่องนี้ที่เป็นการแจ้งเกิดเราไปเลย จนกระทั่งทุกวันนี้ถ้าคนรุ่นเก่าจะเรียกเราว่าตุ่ม กลายเป็นอีกชื่อหนึ่งของเราไปโดยปริยาย ถ้าคนรุ่นเก่านะไม่ค่อยมีใครเรียกเขียดเลย จะเรียกตุ่ม (ภูมิใจในชื่อนี้?) ชอบค่ะชอบ ใครเรียกก็หันทันที แรกๆ ใครเขาถามชื่ออะไรก็บอกว่าชื่อในละครนั่นแหละ เลยกลายเป็นเรื่องจริงไปเลย แม้กระทั่ง“ตุ่ม-ชลิต” ก็ยังเผลอเรียกเราว่า พี่ตุ่มเลย (หัวเราะ) ทุกคนชินกับชื่อนี้ไปหมดแล้ว

มองย้อนกลับไปถึงความเปลี่ยนแปลงในวงการบันเทิง

เปลี่ยนแปลงเยอะค่ะ แต่ถ้าจะมองว่าทำให้เรายากหรือง่ายขึ้นในการทำงาน ก็แล้วแต่กองอีกนะบางทีก็ง้ายง่าย อย่างกอง “เจ้านาง” นี่ง่ายสบายผู้กำกับฯก็ใจดี อะไรโอเคใช้ได้ก็ผ่านเลย แต่ถ้ามองการทำงานในสมัยก่อนแล้ว เราจะต้องช่วยเหลือตัวเองอย่าผิดนะ ผิดไม่ได้ เพราะว่าออกสด แต่เราก็ไม่เคยเล่นผิดเลย คือเรามันละครเวทีมาตั้งแต่เริ่ม ซึ่งเราผิดไม่ได้อยู่แล้ว ไม่งั้นคนอื่นเขาก็แย่ไปด้วย พอมาเล่นละครทีวี.เราก็ปรับตัว แต่ว่าช่วงแรกๆ อาจจะไม่ต้องปรับเพราะว่าละครทีวี.เล่นสด ไม่ได้อัดเทปอย่างนี้มาตั้งแต่เช้า มาซ้อมบท 6 โมงเย็นเริ่มกินข้าว แต่งตัว3 ทุ่มเตรียมตัวนะต้องไปอยู่กันตามฉากใครฉากมันที่ซ้อมกันไว้ ฝ่ายเสื้อผ้าถ้าถึงเวลาปุ๊บต้องเปลี่ยนกันหลังฉากเลย 4 ทุ่ม ก็พร้อมฉายไปจบเอาตอนห้าทุ่มครึ่งบางทีก็สองยาม ละครทีวี.ที่ทำแล้วดังที่สุดมีของพี่เทิ่ง สติเฟื่อง ศรีไทยการละครเขาก็จะมีเพลงประจำละคร พอเพลงละครไตเติ้ลขึ้นปุ๊บคนก็จะมานั่งดูกันหน้าทีวี.เลยแม่เป็นนักแสดงอิสระ เล่นทุกช่องทุกค่ายแล้วสมัยนั้น ช่อง 3 ยังไม่มี มีช่อง 5 ช่อง 7 ช่อง 9 ก็จะมีช่อง 7 เท่านั้นแหละที่เขาเด่นกว่าเพื่อน เราเองใครจ้างก็ไปหมด แต่ว่าส่วนมากจะเล่นกับพี่เทิ่ง เราเลยเหมือนเป็นดาราประจำ พอตอนหลังก็จะเป็นเอ็กแซ็กท์เขาให้เราเล่นทุกเรื่อง มันก็เลยเหมือนคนประจำ พอตอนหลังเขาไม่มีให้เล่นเราก็ไปเรื่อยตามเรื่องตามราว ใครจ้างก็ไป(นักแสดงคู่หู?) ไม่ค่อยมี จะเปลี่ยนไปเรื่อย เข้าได้กับทุกคน แต่นักแสดงปัจจุบันที่ดีที่สุดที่เวลาเราเดือดร้อนอะไรเขาก็จะคอยอุปถัมภ์ค้ำชูคือ “หน่อย-ณัฐนี” มีปัญหาอะไรเขาก็จะคอยจัดการให้เล่น สมัยก่อนเคยร่วมงานกันหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น ประชาชนชาวแฟลต, จ้อนกับแดง, แสงสูรย์, สงครามพิศวาส, ขมิ้นกับปูน,สี่แผ่นดิน, ลูกสลัม ฯลฯ

ชีวิตครอบครัว

ชีวิตคู่ของแม่ ไม่ดีมาตั้งแต่ต้นนะ คือได้แฟนเจ้าชู้ เราก็รู้ เราก็ป้องกันตัวเอง แต่ตอนหลังปัญหาก็แรงขึ้น เลยไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ เลยกลับมาอยู่บ้านตัวเอง ใช้ชีวิตทำงานเล่นละครอย่างปกติ แล้วเราก็มีลูกที่ติดมาตั้งแต่สมัยที่เล่นละครเร่ เป็นลูกชายค่ะ มีคนเดียว เขาก็ดูแลเอาใจใส่เราจนถึงทุกวันนี้ เขาไปทำงานที่ปราจีนบุรี แล้วเรามีโรคประจำตัวเบาหวานความดันไขมันเยอะแยะไปหมด เราอยู่กันสองคนตายายกับสามีคนปัจจุบันนะคะ ลูกเขาก็เลยไม่ยอม กลัวว่าเราจะลำบากเลยเอาไปอยู่ด้วยกัน(กับคู่ชีวิตคนปัจจุบัน?) เขาก็เป็นคนกรุงเทพฯนี่แหละค่ะชื่อ “คุณวิโรจน์ รตาภรณ์” อยู่ด้วยกันมาเกือบจะ 30 ปีเขาเป็นคนที่ชั้นหนึ่งเลยนะ เวลานี้แม่อยู่บ้านเป็นคุณนายค่ะ ทุกอย่างเขาทำหมดเลย กวาดบ้านถูบ้าน แม่จะทำอยู่ 2 อย่างคือเอาผ้าลงเครื่องแล้วกด เพราะว่าเขากดไม่เป็น แล้วกับข้าวเท่านั้นที่แม่ทำ นอกนั้นนั่งเป็นคุณนายทั้งวัน แล้วเมื่อก่อนเราเดินทางมาถ่ายละครคนเดียวได้ แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ให้มาคนเดียวแล้ว ต้องมาดูแล เพราะว่าเราขาไม่ค่อยดี ต้องมาด้วยตลอด ไปไหนไปกัน เขาเป็นคนที่ไม่เรื่องมาก ความที่เขาดูแลเอาใจใส่เราไม่ว่าจะเป็นทั้งคืนหรือว่าดึกดื่นแค่ไหนก็ไม่เคยบ่นเลย สมัยก่อนที่เขายังขับรถได้ เขาก็จะขับรถมาให้ เขาเป็นคนที่ไม่อยากยุ่งยาก มีห้องแอร์เขาก็ไม่มาอยู่เขาจะชอบไปอยู่กับพวกแม่ครัว แล้วก็หามุมสบายๆนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เราก็ทำงานของเราไป

ครอบครัวเล็กๆ ที่อบอุ่น

เวลานี้ครอบครัวเราก็จะอยู่ด้วยกัน 3 ชีวิตในทาวน์เฮ้าส์หลังหนึ่ง หลานสาวก็เพิ่งเสียชีวิตไป ลูกชายก็ไม่มีครอบครัวใหม่ สำหรับการเดินทางมาทำงานก็จะนั่งรถตู้โดยสารกันมา ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป อย่างวันนี้ที่มาถ่ายเรื่องเจ้านาง ก็นั่งรถตู้จากปราจีนบุรี เขาไปรับถึงหน้าหมู่บ้านเลย เราก็โทร.ไปจอง เขาก็จะมารับอย่างเช่นเรามารถ 6 โมงเช้า เขาก็จะมารับเราตีห้าครึ่ง แล้วเขาก็ตระเวนรับตามบ้าน แล้วก็ไปรับคนต่อที่คิวเขาอีก พอ 6 โมงเป๊ะเขาก็ออกเดินทาง มาถึงอนุสาวรีย์ แล้วก็นั่งรถไฟฟ้ามาต่อด้วยรถแท็กซี่หน่อยหนึ่งก็ถึงค่ะ ระหว่างเดินทางก็ได้พบเจอประชาชนแฟนละครมากมายที่เข้ามาทักทายค่ะ บางคนก็บอกเลิกเล่นแล้วเหรอ เพราะว่าไม่ค่อยเห็น บางคนก็ถามว่าเล่นเรื่องอะไรบ้าง แล้วแต่จะทัก แต่ส่วนมากจะถามเรื่องละครทั้งนั้น เขาไม่แปลกใจที่เจอเราแบบนี้ จะมีแต่เวลาที่ไปเดินตลาดที่ปราจีนบางคนเขาก็ไม่รู้ว่าเราอยู่ที่นี่คือเขาคิดว่าเราอยู่กรุงเทพฯ คนถามเยอะเพราะว่าน้อยคนจะรู้ว่าเราอยู่ที่นี่มา 6-7 ปีแล้ว (ไม่เลือกที่จะอยู่กรุงเทพฯ แม้ว่างานส่วนมากก็ทำในกรุงเทพฯ?) เหมือนกับว่าชีวิตครอบครัวเราเหลือน้อยแล้ว อยากจะใช้เวลาที่เหลือกับครอบครัวมากกว่า เป็นคนที่ติดครอบครัว เหมือนกันหมด แล้วเป็นมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่พอเรามีลูกเราก็อยากจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ เราจะไม่แยกกันอยู่เลย เที่ยวก็ยังไม่เคยไปเที่ยวกับคนอื่นเลยนะ จะเที่ยวกันในครอบครัว อย่างสมัยที่แม่เรายังอยู่แม่ชอบทะเล วันเกิดท่านปีหนึ่งเราก็พากันไปทั้งครอบครัว ตั้งแต่หลานตัวเล็กๆจนหลานโตเป็นสาวมันก็เลยสืบทอดกันมา อยู่ที่ปราจีนเราก็กลัวว่าเขาจะเหงาอยากให้เขาไปเที่ยวกับเพื่อนฝูงบ้าง แต่เขาก็ไม่ไปเขาบอกว่าชอบเที่ยวกับครอบครัว ส่วนหลานสาวมาเสียตอนเขาอายุ 19 ปี เป็นโรคพุ่มพวง ช่วงที่เขาเป็นหนักเราไม่อยู่ด้วย เพราะว่ามาเล่นละครเวทีเรื่องพระนเรศวรอยู่กรุงเทพฯ เลยไม่ทันไปดูใจหลาน ตอนนี้ก็เลยยิ่งเหงาใหญ่ เพราะว่ามีหลานอยู่คนเดียวเขาช่างประจบย่าด้วยค่ะไปไหนก็ไปกับย่า ตอนเด็กๆ เราไปถ่ายละคร เขาก็ไปด้วย พอมาอยู่ปราจีนเขาก็จับย่านั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวไปตลาด

กิจวัตรประจำวันในวันที่ไม่ได้ถ่ายละคร

ทำงานบ้านนิดๆ หน่อยๆ อย่างที่บอกเพราะว่าส่วนมากพ่อเขาจะเป็นคนจัดการหมด เราจะจัดการเรื่องอาหารการกิน เพราะว่าเขาเป็นคนชอบกินอาหารเช้าขนมปังอะไรก็ว่าไป แต่ส่วนมากจะกินอะไรง่ายๆ บางวันก็ทอดไข่เจียว ไข่ต้ม อยู่กันแบบสบายๆ ไม่คิดที่จะย้ายกลับเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ถ้ากลับมาลูกชายก็ไม่รู้จะทำอะไร เราเองก็คงจะเล่นละครเป็นนักแสดงไปเรื่อยๆ เพราะว่าเราไม่ได้มีวิชาความรู้อะไร มีอย่างเดียวคือทำมาค้าขาย ทุกวันนี้ที่ขาเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าขายของ ตอนนั้นขายอาหารตามสั่งตรงพระราม 2ยืนผัดอาหารตั้งแต่เช้ายันสี่ทุ่มทุกวัน พอห้าเดือนมารู้ว่าเข่าไม่เอาเรื่องแล้ว พอนั่งแล้วลุกไม่ได้ ถ้ายืนต้องยืนตลอด หนักเข้ามาแขนยกไม่ได้อีก ลูกชายก็ช่วยด้วยแต่พ่อไม่ได้ช่วยเพราะว่าเขาทำงานประจำอยู่ เราก็สู้ไม่ไหวเลยเลิก ไปขายรองเท้าที่ตลาดนัด ไปสองคนกับพ่อช่วยกันยก ตอนที่พ่อเขาปลดเกษียณแล้ว ตอนที่ไปอยู่ปราจีนก็ไปขายกับข้าวบ้างเหมือนกัน ลูกชายก็ไปทำงานประจำ จนตอนหลังร่างกายเราก็อ่อนแรงลงก็เลยเลิกขายเหลือแต่เล่นละครอย่างเดียว ผู้จัดคนไหนที่เรารู้จัก เราก็จะโทร.หาบ้าง หรือเขาโทร.หาเราบ้าง แต่สมัยนี้งานจะน้อยลง เพราะว่าละครสมัยนี้ไม่ค่อยมีคนใช้แม่บ้าน เรายังเคยพูดเล่นๆกันเลยว่าคนสมัยนี้เขาไม่มีแม่ครัวไม่มีแม่บ้านกันเลยนะ(หัวเราะ) อีกอย่างหนึ่งเขาเอาแต่คนหนุ่มคนสาวเล่น

แง่คิดในการดำเนินชีวิต

เราต้องซื่อสัตย์กับอาชีพที่เราทำนะ ทั้งในครอบครัวและหน้าที่การงาน ซึ่งหน้าที่การงานนี่สำคัญที่สุดไม่ว่าจะทำงานอะไร ยิ่งเป็นนักแสดงยิ่งต้องตรงต่อเวลาหน้าที่ต้องเป็นใหญ่ รับงานใครอย่าให้งานเขาเสีย อย่าให้เขาคอย อย่าให้เขาว่าได้ ต้องทำเต็มที่ เท่าที่เราทำได้ ตอนนี้ที่มีคนช่วยเหลืออยู่ก็คือสมาคมศิลปินผู้อาวุโส ที่เขาจะช่วยเหลือคนแก่ๆทั้งหมดที่ไม่ไหวแล้ว เขาก็จะช่วยปีละครั้ง เหมือนเขาทำบุญให้คนแก่ แล้วก็ขอเขาแสดงไป แต่ละเจ้าตามที่เรารู้จัก แล้วยิ่งตอนนี้เราสุขภาพไม่ค่อยดี งานยิ่งน้อย เราก็นึกในใจยิ่งน้อยอยู่แล้วยิ่งไม่มีใครจ้างก็แย่เลย พูดกันตามหลักช่วยเหลือกันนะนึกว่าช่วยกันทำบุญ อย่าช่วยกันตอนตาย ช่วยกันตอนเป็นได้บุญกุศลเยอะกว่า คือไม่ใช่เอาเงินมาให้เฉยๆแต่อาจจะให้เราเล่นสักตอนหนึ่งทำงานหน่อย ในเมื่อเรายังทำงานได้ แม้จะไม่เต็มร้อย แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่ช่วยเลยสองอย่าไปคิดว่าพอตายแล้วเอาพวงหรีดไปตั้งไว้หน้าศพช่วยกันหน่อยตอนเดียวก็ได้ จะได้มีกินไปเดือนๆ หนึ่งค่ะ

แม้สุขภาพร่างกายจะถดถอย แต่หัวใจที่รักในการแสดงของ “เขียด-นภาพร หงสกุล” ไม่เคยจะเหนื่อยล้ามอบความบันเทิงให้กับผู้ชมมาอย่างยาวนานสำหรับนักแสดงอาวุโส “เขียด” นภาพร หงสกุล ที่เรามักจะคุ้นภาพกับบทแม่นมผู้ใจดีและอบอุ่น ตลอดชีวิตบนเส้นทางสายบันเทิงของแม่เขียดเป็นอย่างไร “สตาร์เรโทร” สัปดาห์นี้ขอพาทุกท่านย้อนวันวานไปพร้อมๆ กันค่ะ

สำหรับละครที่เพิ่งจบไปคือเรื่อง “เจ้านาง” ที่เล่นเป็นแม่นมของพระเอก “เติ้ล-ธนพล” ส่วนอีกเรื่องที่กำลังถ่ายทำอยู่คือ “คู่หู” เล่นเป็นแม่นมอีกเช่นกันแต่คราวนี้เปลี่ยนมาอยู่ฝั่งนางเอก (มีงานแสดงอย่างต่อเนื่อง?) บางปีก็มีเรื่องหนึ่ง บางปีก็ไม่มีเลย มีปีนี้ที่ฟลุคหน่อยได้ 2 เรื่อง การรับงานเราไม่ได้กะเกณฑ์อะไรมากมายหรอกค่ะ ส่วนมากแม่จะไม่ค่อยบอกเรื่องรายได้ ไม่ค่อยอยากเรียกร้อง คือให้เขาตั้งมาว่าจะให้เราเท่าไหร่ยังไง แต่ส่วนมากทางผู้ใหญ่เขาก็จะคะยั้นคะยอว่าจะต้องบอกให้ได้ไม่งั้นเขาเสนอไม่ได้ เราก็เลยจำเป็นต้องบอกไปว่าเราได้จากเรื่องนี้เท่าไหร่ เราก็เอาแบบอย่างจากเรื่องแรกว่าเราได้เท่าไหร่ จะให้เราเท่านี้หรือยังไงก็ว่ามาค่ะ

ภาพจำที่คนดูมักจะคุ้นตาก็คือบทแม่นม

ใช่ค่ะ ถ้าเริ่มต้นนี่ต้องมาจากเอ็กแซ็กท์เรื่อง “ทอฝันกับมาวิน” เพราะว่าเราได้เล่นเป็นแม่นมของพ่อพระเอก ต่อมาจนถึงตัวพระเอกคือ “ฟลุค-เกริกพล” สมัยก่อนเล่นกับเอ็กแซ็กท์ประจำจนเขาเรียกว่า แม่นมประจำเอ็กแซ็กท์ (ยิ้ม) ซึ่งสมัยนั้นเรายังแข็งแรงกว่านี้ หลังๆ ก็ห่างกันไปเพราะว่าเราร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ แล้วเขาก็ทำแต่เรื่องที่มีแต่คนหนุ่มๆ สาวๆ ทำแต่เรื่องสมัยใหม่ (ความรู้สึกกับบทแม่นม?) ดีใจค่ะ เพราะว่าเราก็เล่นสบายๆ ไม่หนัก คือเล่นตัวดีๆ เป็นคนดีมันสบายๆ แต่ถ้าย้อนไปในสมัยก่อนนั้น แม่ก็ได้รับบทที่หลากหลายมาก เป็นแม่เล้า แม่ค้า ชาวบ้าน ไปตามเรื่องตามราว ส่วนมากถ้าจักรๆ วงศ์ๆ เขาก็จะให้เราอยู่กับพวกตัวอิจฉา เป็นสนมตัวแสบ

ก้าวแรกของการแสดง

เหมือนต่อเนื่องมาน่ะค่ะ แม่เป็นนักแสดงมาตั้งแต่เด็กๆ คุณพ่อคุณแม่เป็นนักแสดง คือละครเวทีของโบราณเป็นละครร้องหรือที่เรียกว่าละครเร่ เร่ไปเหมือนลิเก ซึ่งจะเล่นเป็นเรื่องๆ เราก็จะเล่นตั้งแต่อายุ 2-3 ขวบแล้ว เรื่องที่เล่นถ้าพูดชื่อไปคนสมัยนี้คงจะไม่รู้จัก แต่จะมีรู้จักอยู่เรื่องหนึ่งคือ “อาญารัก” จริงๆเป็นละครร้องมาก่อน “คุณสำเนาว์ หิริโอตัปปะ” เป็นผู้ประพันธ์ แล้วเขามาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “จำลักษณ์” คุณสำเนาว์อยู่ละครเร่มาเหมือนกัน แล้วเขาเป็นคนตั้งชื่อให้แม่ว่า “นภาพร” ตอนที่ได้เล่นเป็นนางเอก เพราะว่าชื่อเก่าแม่ชื่อ “ชรินทร์”

ก้าวสู่วงการบันเทิง

พอหนังมา ทีวี.มา ละครเร่ก็จางลงเริ่มไม่มีอาชีพนี้ เราจะไปทำอะไรกิน ก็เลยตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ พ่อแม่ (คุณพ่อทองชวน-คุณแม่เจริญใจ หงสกุล)ก็มีบ้านพัก แต่ว่าไม่ได้เป็นดารา เพราะว่าละครเร่ไม่เกี่ยวกับดารา คือเราจะไปต่างจังหวัด จริงๆ เป็นคนกรุงเทพฯ แต่ว่าละครเร่จะเร่ไปฉายตามต่างจังหวัดก็เลยเปรียบโรงละครเหมือนบ้าน 5 วันนอนตำบลนี้2 วันไปตำบลนั้น ไปทุกภาค เราก็เลยเหมือนโตมาในโรงละคร ที่ซึมซับชอบการแสดงมาตั้งแต่เด็กๆ มันเหมือนฝังหัวค่ะ เราอาศัยที่ว่าเวลาเล่นละครเร่ เราก็ได้ร้องเพลงหน้าม่าน ก็เลยเอาวิชานี้มาอยู่ตามวงดนตรี จนกระทั่งมาอยู่กับวง “ป๋าเหน่” (เสน่ห์ โกมารชุน) ป๋าเหน่เขาทำหนังและมีวงด้วย เราก็มาเป็นนักร้องประจำ ป๋าเหน่เขามีมุขตลกเยอะ ก็เลยต้องมีตลกสลับเล่นกับดนตรี เขาก็เอาเราไปเล่นเป็นตัวผู้หญิงให้ตัวตลกเล่นบ้างจนกระทั่งวันหนึ่งป๋าเหน่ได้เล่นละครที่ช่อง 5 เราก็ยังไม่เคยเล่นละครทีวี. แต่ป๋าเขารู้ว่าเราเป็นนักแสดงและรู้ว่าอาชีพนี้เป็นยังไง แล้วพอดีว่า “ชูศรี มีสมมนต์” เขาเล่นต่อไม่ได้ คือละครสมัยก่อนเดือนหนึ่งเล่นครั้งหนึ่งแล้วเล่นสดๆ คนจะดูละครต้องรอเดือนหนึ่งถึงจะได้ดูตอนหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นชูศรีเขามาเล่นต่อไม่ได้ตัวนี้ก็ขาด เป็นแค่บทคนใช้แต่เป็นตัวสำคัญ เพราะว่าเป็นคนใช้ที่เด็กกว่าเพื่อน แล้วก็จะเจ๊าะแจ๊ะกับพวกผู้ใหญ่ไปเรื่อย ป๋าเหน่ก็เลยแนะนำให้พี่ “เทิ่ง สติเฟื่อง”เอาเราไปเล่น บอกว่าเราเป็นเด็กในวงเขา เขาก็ให้รถมารับแล้วก็ไปซ้อมเล่น เราก็โอเคเล่นได้ เหมือนเลือดมันมีอยู่แล้ว และละครสมัยนั้นไม่ได้ท่องบท คือเขามีคนบอกบท เราก็มาอ่านให้เข้าใจอารมณ์ คำพูดเดี๋ยวจะมีคนบอกให้ เราก็เล่นได้ ตอนนั้นเล่นเรื่อง “คุณหญิงพวงแข” เป็นครั้งแรกที่ได้เล่นละคร แล้วหลังจากนั้นพี่เทิ่งเขาก็เห็นวิธีการแสดงเขาก็ไปพูดกับป๋าเหน่ว่าเด็กคนนี้ใช้ได้ ก็เลยได้เล่นละครของพี่เทิ่งทุกเรื่อง ได้รับบทเป็นสาวใช้เป็นเพื่อนนางเอกบ้าง แต่ส่วนมากจะเล่นเป็นคนใช้ของนางเอก ละครสมัยก่อนต้องมีคนสวน คนขับรถ แม่ครัว เขาเรียกว่านางตาม มีทุกเรื่องไม่เหมือนละครสมัยนี้ สมัยก่อนเขาถือว่าตัวพวกนี้เป็นน้ำจิ้ม ต้องออกมาช่วยปรุงรสให้กับละคร (เริ่มชอบการแสดงละครหรือยัง?) ชอบมาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ ไม่ได้มองหาอาชีพอื่นที่จะประกอบ หนึ่งคือเราไม่มีความรู้ สองเราไม่มีทุน ที่บ้านก็ฐานะต่ำ คนเราสมัยก่อนที่เป็นละครเร่ เป็นนักแสดงค่าตัวไม่กี่ตังค์ กินกันเป็นรายวัน ค่าตัว ตัวพ่อตัวแม่ได้ 20-30 บาทต่อวัน นางเอกได้มากหน่อย 50 บาท แต่ว่าหากินเองทุกอย่างนะ เพราะฉะนั้นเงินจะไม่มีเก็บ ถึงบอกว่านักแสดงสมัยก่อนไม่ได้รวย รับประกันได้ไม่มีรวยไม่เหมือนสมัยนี้

เมื่อวิวัฒนาการของละครทีวี.เปลี่ยนไป

หนังก็เริ่มหดลง ดาราหนังก็ย้ายกันเข้ามาเล่นละครทีวี.กันหมด คนที่เคยพูดว่าไม่ชอบหรอกทีวี. ดาราทีวี.ต่ำก็เข้ามา สำหรับตัวแม่เองก็เล่นทั้งหนังและละครมาอยู่แล้ว หนังเล่นสมัย “มิตร ชัยบัญชา” บทบาทก็เป็นเหมือนในละครค่ะ เป็นตัวตามพระเอก-นางเอกเป็นพี่เลี้ยง แล้วสมัยนั้นเสื้อผ้าตัวแสดงต้องหาไปเองนะคือตัวที่ต่อจากพระเอก-นางเอกลงมาจะต้องหาเองหมด ยกเว้นพระเอก-นางเอกที่เขาจะหาให้ แม่มีผ้าถุงเกือบ 200 ตัว เพราะเล่นทั้งหนังทั้งละครเราก็ไม่อยากให้ซ้ำแล้วคนดูจำได้ ผ้าถุงจะต้องมีแยกเป็นผ้าโสร่ง ผ้าซิ่น ผ้าไทย แล้วแต่เนื้อเรื่อง แต่งหน้าทำผมก็ทำกันเอง ไปถ่ายหนังกันทีต้องแบกกันไปเป็นกระเป๋า อยากสวยยังไงก็หาเอง (ครีเอทตัวเองอย่างไรว่าจะต้องสวยแบบไหน?) เราดูจากบท แม่เป็นคนที่เล่นอะไรก็แล้วแต่จะไม่เว่อร์ อ่านจากบทจากคาแร็กเตอร์ก่อน แต่หนังเขาไม่มีบทให้อ่านเราก็จะไปถามผู้กำกับฯว่าจะให้เล่นลักษณะไหน ก็จะมีคนบอกโทนของเสื้อผ้าว่าแบบไหนเรียบร้อย ฉูดฉาด (บทบาทที่ชอบ?) ถ้าเล่นสบายๆ ก็ต้องเป็นแม่นม แต่ถ้าเราจะโชว์หรือเรากล้าแสดงออกเราก็ต้องเล่นตามที่เขาให้มา อย่างเช่นแม่เล้า ซึ่งบทนี้จะไม่ค่อยมีใครกล้าเล่น เพราะว่ามันต้องหยาบคายจัดจ้าน แต่งตัวเปรี้ยวสีสันมาก ซึ่งในหนังจะได้เล่นบ่อย

เคยนับไหมว่าเล่นหนังเล่นละครมาแล้วกี่เรื่อง

ไม่เคยเลย แต่คิดว่าเป็นร้อยขึ้น คือเราเป็นนางตามพี่เลี้ยงพระเอก-นางเอก “มิตร ชัยบัญชา” เราก็เคยเล่น พอมา “พี่แอ๊ด-สมบัติ” เราก็ได้เล่นตามเขาอีก “ไชยา สุริยัน” ตอนเขากำลังดังเราก็ได้เล่นด้วยอีก คือได้มีโอกาสหมดเลย แค่จัดคิวตัวให้ได้ก็แล้วกัน ถ้าตัวตามนางเอกก็จะมีตาม “มี้-พิศมัย”, “เพชรรา เชาวราษฎร์”

ผลงานที่ประทับใจ

หนังไม่มีผลงานอะไรมากมายที่ประทับใจ คือได้ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าละครเรื่อง “ประชาชนชาวแฟลต” เรื่องนี้ทำให้แม่ดัง คือเป็นบทชาวบ้านธรรมดาซึ่งอยู่แฟลต ผัวขับแท็กซี่ เราเหมือนเป็นหัวหน้าเด็กหิ้วกระติกน้ำมาอันหนึ่งรอรับผัวขับแท็กซี่กลับมา แล้วทีนี้มันก็เห็นทุกอิริยาบถของคนในแฟลต เดี๋ยวคนนั้นหิ้วผู้ชายมา คนนี้หิ้วผู้หญิงมา เดี๋ยวห้องนั้นทะเลาะกันตีกัน ซึ่งต้องยกให้ “พี่สมชาย นิลวรรณ” คนเขียนบทเขียนได้เก่งมาก แล้วตัว “อีตุ่ม” เนี่ยวันๆไม่ทำอะไร (อ้อ...ชื่อเล่นอีกชื่อของแม่มาจากเรื่องนี้นี่เอง) ใช่ค่ะ เล่นทีแรกเราก็คิดว่าคงเป็นไปตามธรรมชาติของการแสดงแต่ปรากฏว่า คนติด ก็เลยดังขึ้นไปเรื่อย คนส่วนใหญ่ก็จะชอบตัวละครตัวนี้ เราเล่นเองก็สนุกเพราะว่าเป็นเรื่องของชาวบ้านจริงๆ พี่สมชายเข้าใจชีวิตของคนที่อยู่แฟลตเพราะว่าตัวแกเองก็อยู่แฟลตก็เลยเอามาเล่าให้ “ครูเล็ก-ภัทราวดี” ฟัง ก็เล่นกันยาวเป็นร้อยกว่าตอนเลย เรียกว่าเป็นละครซิทคอมเลยก็ว่าได้ ตัวละครหลักก็จะเล่นยาวไปเลย ก็เลยประทับใจเรื่องนี้ที่เป็นการแจ้งเกิดเราไปเลย จนกระทั่งทุกวันนี้ถ้าคนรุ่นเก่าจะเรียกเราว่าตุ่ม กลายเป็นอีกชื่อหนึ่งของเราไปโดยปริยาย ถ้าคนรุ่นเก่านะไม่ค่อยมีใครเรียกเขียดเลย จะเรียกตุ่ม (ภูมิใจในชื่อนี้?) ชอบค่ะชอบ ใครเรียกก็หันทันที แรกๆ ใครเขาถามชื่ออะไรก็บอกว่าชื่อในละครนั่นแหละ เลยกลายเป็นเรื่องจริงไปเลย แม้กระทั่ง“ตุ่ม-ชลิต” ก็ยังเผลอเรียกเราว่า พี่ตุ่มเลย (หัวเราะ) ทุกคนชินกับชื่อนี้ไปหมดแล้ว

มองย้อนกลับไปถึงความเปลี่ยนแปลงในวงการบันเทิง

เปลี่ยนแปลงเยอะค่ะ แต่ถ้าจะมองว่าทำให้เรายากหรือง่ายขึ้นในการทำงาน ก็แล้วแต่กองอีกนะบางทีก็ง้ายง่าย อย่างกอง “เจ้านาง” นี่ง่ายสบายผู้กำกับฯก็ใจดี อะไรโอเคใช้ได้ก็ผ่านเลย แต่ถ้ามองการทำงานในสมัยก่อนแล้ว เราจะต้องช่วยเหลือตัวเองอย่าผิดนะ ผิดไม่ได้ เพราะว่าออกสด แต่เราก็ไม่เคยเล่นผิดเลย คือเรามันละครเวทีมาตั้งแต่เริ่ม ซึ่งเราผิดไม่ได้อยู่แล้ว ไม่งั้นคนอื่นเขาก็แย่ไปด้วย พอมาเล่นละครทีวี.เราก็ปรับตัว แต่ว่าช่วงแรกๆ อาจจะไม่ต้องปรับเพราะว่าละครทีวี.เล่นสด ไม่ได้อัดเทปอย่างนี้มาตั้งแต่เช้า มาซ้อมบท 6 โมงเย็นเริ่มกินข้าว แต่งตัว3 ทุ่มเตรียมตัวนะต้องไปอยู่กันตามฉากใครฉากมันที่ซ้อมกันไว้ ฝ่ายเสื้อผ้าถ้าถึงเวลาปุ๊บต้องเปลี่ยนกันหลังฉากเลย 4 ทุ่ม ก็พร้อมฉายไปจบเอาตอนห้าทุ่มครึ่งบางทีก็สองยาม ละครทีวี.ที่ทำแล้วดังที่สุดมีของพี่เทิ่ง สติเฟื่อง ศรีไทยการละครเขาก็จะมีเพลงประจำละคร พอเพลงละครไตเติ้ลขึ้นปุ๊บคนก็จะมานั่งดูกันหน้าทีวี.เลยแม่เป็นนักแสดงอิสระ เล่นทุกช่องทุกค่ายแล้วสมัยนั้น ช่อง 3 ยังไม่มี มีช่อง 5 ช่อง 7 ช่อง 9 ก็จะมีช่อง 7 เท่านั้นแหละที่เขาเด่นกว่าเพื่อน เราเองใครจ้างก็ไปหมด แต่ว่าส่วนมากจะเล่นกับพี่เทิ่ง เราเลยเหมือนเป็นดาราประจำ พอตอนหลังก็จะเป็นเอ็กแซ็กท์เขาให้เราเล่นทุกเรื่อง มันก็เลยเหมือนคนประจำ พอตอนหลังเขาไม่มีให้เล่นเราก็ไปเรื่อยตามเรื่องตามราว ใครจ้างก็ไป(นักแสดงคู่หู?) ไม่ค่อยมี จะเปลี่ยนไปเรื่อย เข้าได้กับทุกคน แต่นักแสดงปัจจุบันที่ดีที่สุดที่เวลาเราเดือดร้อนอะไรเขาก็จะคอยอุปถัมภ์ค้ำชูคือ “หน่อย-ณัฐนี” มีปัญหาอะไรเขาก็จะคอยจัดการให้เล่น สมัยก่อนเคยร่วมงานกันหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น ประชาชนชาวแฟลต, จ้อนกับแดง, แสงสูรย์, สงครามพิศวาส, ขมิ้นกับปูน,สี่แผ่นดิน, ลูกสลัม ฯลฯ

ชีวิตครอบครัว

ชีวิตคู่ของแม่ ไม่ดีมาตั้งแต่ต้นนะ คือได้แฟนเจ้าชู้ เราก็รู้ เราก็ป้องกันตัวเอง แต่ตอนหลังปัญหาก็แรงขึ้น เลยไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ เลยกลับมาอยู่บ้านตัวเอง ใช้ชีวิตทำงานเล่นละครอย่างปกติ แล้วเราก็มีลูกที่ติดมาตั้งแต่สมัยที่เล่นละครเร่ เป็นลูกชายค่ะ มีคนเดียว เขาก็ดูแลเอาใจใส่เราจนถึงทุกวันนี้ เขาไปทำงานที่ปราจีนบุรี แล้วเรามีโรคประจำตัวเบาหวานความดันไขมันเยอะแยะไปหมด เราอยู่กันสองคนตายายกับสามีคนปัจจุบันนะคะ ลูกเขาก็เลยไม่ยอม กลัวว่าเราจะลำบากเลยเอาไปอยู่ด้วยกัน(กับคู่ชีวิตคนปัจจุบัน?) เขาก็เป็นคนกรุงเทพฯนี่แหละค่ะชื่อ “คุณวิโรจน์ รตาภรณ์” อยู่ด้วยกันมาเกือบจะ 30 ปีเขาเป็นคนที่ชั้นหนึ่งเลยนะ เวลานี้แม่อยู่บ้านเป็นคุณนายค่ะ ทุกอย่างเขาทำหมดเลย กวาดบ้านถูบ้าน แม่จะทำอยู่ 2 อย่างคือเอาผ้าลงเครื่องแล้วกด เพราะว่าเขากดไม่เป็น แล้วกับข้าวเท่านั้นที่แม่ทำ นอกนั้นนั่งเป็นคุณนายทั้งวัน แล้วเมื่อก่อนเราเดินทางมาถ่ายละครคนเดียวได้ แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ให้มาคนเดียวแล้ว ต้องมาดูแล เพราะว่าเราขาไม่ค่อยดี ต้องมาด้วยตลอด ไปไหนไปกัน เขาเป็นคนที่ไม่เรื่องมาก ความที่เขาดูแลเอาใจใส่เราไม่ว่าจะเป็นทั้งคืนหรือว่าดึกดื่นแค่ไหนก็ไม่เคยบ่นเลย สมัยก่อนที่เขายังขับรถได้ เขาก็จะขับรถมาให้ เขาเป็นคนที่ไม่อยากยุ่งยาก มีห้องแอร์เขาก็ไม่มาอยู่เขาจะชอบไปอยู่กับพวกแม่ครัว แล้วก็หามุมสบายๆนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เราก็ทำงานของเราไป

ครอบครัวเล็กๆ ที่อบอุ่น

เวลานี้ครอบครัวเราก็จะอยู่ด้วยกัน 3 ชีวิตในทาวน์เฮ้าส์หลังหนึ่ง หลานสาวก็เพิ่งเสียชีวิตไป ลูกชายก็ไม่มีครอบครัวใหม่ สำหรับการเดินทางมาทำงานก็จะนั่งรถตู้โดยสารกันมา ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป อย่างวันนี้ที่มาถ่ายเรื่องเจ้านาง ก็นั่งรถตู้จากปราจีนบุรี เขาไปรับถึงหน้าหมู่บ้านเลย เราก็โทร.ไปจอง เขาก็จะมารับอย่างเช่นเรามารถ 6 โมงเช้า เขาก็จะมารับเราตีห้าครึ่ง แล้วเขาก็ตระเวนรับตามบ้าน แล้วก็ไปรับคนต่อที่คิวเขาอีก พอ 6 โมงเป๊ะเขาก็ออกเดินทาง มาถึงอนุสาวรีย์ แล้วก็นั่งรถไฟฟ้ามาต่อด้วยรถแท็กซี่หน่อยหนึ่งก็ถึงค่ะ ระหว่างเดินทางก็ได้พบเจอประชาชนแฟนละครมากมายที่เข้ามาทักทายค่ะ บางคนก็บอกเลิกเล่นแล้วเหรอ เพราะว่าไม่ค่อยเห็น บางคนก็ถามว่าเล่นเรื่องอะไรบ้าง แล้วแต่จะทัก แต่ส่วนมากจะถามเรื่องละครทั้งนั้น เขาไม่แปลกใจที่เจอเราแบบนี้ จะมีแต่เวลาที่ไปเดินตลาดที่ปราจีนบางคนเขาก็ไม่รู้ว่าเราอยู่ที่นี่คือเขาคิดว่าเราอยู่กรุงเทพฯ คนถามเยอะเพราะว่าน้อยคนจะรู้ว่าเราอยู่ที่นี่มา 6-7 ปีแล้ว (ไม่เลือกที่จะอยู่กรุงเทพฯ แม้ว่างานส่วนมากก็ทำในกรุงเทพฯ?) เหมือนกับว่าชีวิตครอบครัวเราเหลือน้อยแล้ว อยากจะใช้เวลาที่เหลือกับครอบครัวมากกว่า เป็นคนที่ติดครอบครัว เหมือนกันหมด แล้วเป็นมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่พอเรามีลูกเราก็อยากจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ เราจะไม่แยกกันอยู่เลย เที่ยวก็ยังไม่เคยไปเที่ยวกับคนอื่นเลยนะ จะเที่ยวกันในครอบครัว อย่างสมัยที่แม่เรายังอยู่แม่ชอบทะเล วันเกิดท่านปีหนึ่งเราก็พากันไปทั้งครอบครัว ตั้งแต่หลานตัวเล็กๆจนหลานโตเป็นสาวมันก็เลยสืบทอดกันมา อยู่ที่ปราจีนเราก็กลัวว่าเขาจะเหงาอยากให้เขาไปเที่ยวกับเพื่อนฝูงบ้าง แต่เขาก็ไม่ไปเขาบอกว่าชอบเที่ยวกับครอบครัว ส่วนหลานสาวมาเสียตอนเขาอายุ 19 ปี เป็นโรคพุ่มพวง ช่วงที่เขาเป็นหนักเราไม่อยู่ด้วย เพราะว่ามาเล่นละครเวทีเรื่องพระนเรศวรอยู่กรุงเทพฯ เลยไม่ทันไปดูใจหลาน ตอนนี้ก็เลยยิ่งเหงาใหญ่ เพราะว่ามีหลานอยู่คนเดียวเขาช่างประจบย่าด้วยค่ะไปไหนก็ไปกับย่า ตอนเด็กๆ เราไปถ่ายละคร เขาก็ไปด้วย พอมาอยู่ปราจีนเขาก็จับย่านั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวไปตลาด

กิจวัตรประจำวันในวันที่ไม่ได้ถ่ายละคร

ทำงานบ้านนิดๆ หน่อยๆ อย่างที่บอกเพราะว่าส่วนมากพ่อเขาจะเป็นคนจัดการหมด เราจะจัดการเรื่องอาหารการกิน เพราะว่าเขาเป็นคนชอบกินอาหารเช้าขนมปังอะไรก็ว่าไป แต่ส่วนมากจะกินอะไรง่ายๆ บางวันก็ทอดไข่เจียว ไข่ต้ม อยู่กันแบบสบายๆ ไม่คิดที่จะย้ายกลับเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ถ้ากลับมาลูกชายก็ไม่รู้จะทำอะไร เราเองก็คงจะเล่นละครเป็นนักแสดงไปเรื่อยๆ เพราะว่าเราไม่ได้มีวิชาความรู้อะไร มีอย่างเดียวคือทำมาค้าขาย ทุกวันนี้ที่ขาเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าขายของ ตอนนั้นขายอาหารตามสั่งตรงพระราม 2ยืนผัดอาหารตั้งแต่เช้ายันสี่ทุ่มทุกวัน พอห้าเดือนมารู้ว่าเข่าไม่เอาเรื่องแล้ว พอนั่งแล้วลุกไม่ได้ ถ้ายืนต้องยืนตลอด หนักเข้ามาแขนยกไม่ได้อีก ลูกชายก็ช่วยด้วยแต่พ่อไม่ได้ช่วยเพราะว่าเขาทำงานประจำอยู่ เราก็สู้ไม่ไหวเลยเลิก ไปขายรองเท้าที่ตลาดนัด ไปสองคนกับพ่อช่วยกันยก ตอนที่พ่อเขาปลดเกษียณแล้ว ตอนที่ไปอยู่ปราจีนก็ไปขายกับข้าวบ้างเหมือนกัน ลูกชายก็ไปทำงานประจำ จนตอนหลังร่างกายเราก็อ่อนแรงลงก็เลยเลิกขายเหลือแต่เล่นละครอย่างเดียว ผู้จัดคนไหนที่เรารู้จัก เราก็จะโทร.หาบ้าง หรือเขาโทร.หาเราบ้าง แต่สมัยนี้งานจะน้อยลง เพราะว่าละครสมัยนี้ไม่ค่อยมีคนใช้แม่บ้าน เรายังเคยพูดเล่นๆกันเลยว่าคนสมัยนี้เขาไม่มีแม่ครัวไม่มีแม่บ้านกันเลยนะ(หัวเราะ) อีกอย่างหนึ่งเขาเอาแต่คนหนุ่มคนสาวเล่น

แง่คิดในการดำเนินชีวิต

เราต้องซื่อสัตย์กับอาชีพที่เราทำนะ ทั้งในครอบครัวและหน้าที่การงาน ซึ่งหน้าที่การงานนี่สำคัญที่สุดไม่ว่าจะทำงานอะไร ยิ่งเป็นนักแสดงยิ่งต้องตรงต่อเวลาหน้าที่ต้องเป็นใหญ่ รับงานใครอย่าให้งานเขาเสีย อย่าให้เขาคอย อย่าให้เขาว่าได้ ต้องทำเต็มที่ เท่าที่เราทำได้ ตอนนี้ที่มีคนช่วยเหลืออยู่ก็คือสมาคมศิลปินผู้อาวุโส ที่เขาจะช่วยเหลือคนแก่ๆทั้งหมดที่ไม่ไหวแล้ว เขาก็จะช่วยปีละครั้ง เหมือนเขาทำบุญให้คนแก่ แล้วก็ขอเขาแสดงไป แต่ละเจ้าตามที่เรารู้จัก แล้วยิ่งตอนนี้เราสุขภาพไม่ค่อยดี งานยิ่งน้อย เราก็นึกในใจยิ่งน้อยอยู่แล้วยิ่งไม่มีใครจ้างก็แย่เลย พูดกันตามหลักช่วยเหลือกันนะนึกว่าช่วยกันทำบุญ อย่าช่วยกันตอนตาย ช่วยกันตอนเป็นได้บุญกุศลเยอะกว่า คือไม่ใช่เอาเงินมาให้เฉยๆแต่อาจจะให้เราเล่นสักตอนหนึ่งทำงานหน่อย ในเมื่อเรายังทำงานได้ แม้จะไม่เต็มร้อย แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่ช่วยเลยสองอย่าไปคิดว่าพอตายแล้วเอาพวงหรีดไปตั้งไว้หน้าศพช่วยกันหน่อยตอนเดียวก็ได้ จะได้มีกินไปเดือนๆ หนึ่งค่ะ

แม้สุขภาพร่างกายจะถดถอย แต่หัวใจที่รักในการแสดงของ “เขียด-นภาพร หงสกุล” ไม่เคยจะเหนื่อยล้า

กุหลาบสีเงิน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • สง่างาม! \'โอปอล สุชาตา\'เปิดตัวสุดอลังการในชุดไทยบนเวที Miss World 2025 สง่างาม! 'โอปอล สุชาตา'เปิดตัวสุดอลังการในชุดไทยบนเวที Miss World 2025
  • \'เบสท์ ชนิดาภา\'แชร์อุทาหรณ์ ถูกมิจฉาชีพหลอกสูญเงิน 1.2 ล้านบาท 'เบสท์ ชนิดาภา'แชร์อุทาหรณ์ ถูกมิจฉาชีพหลอกสูญเงิน 1.2 ล้านบาท
  • นาทีระทึก! \'ลิลลี่\'เผยคลิปร้องไห้หนัก หลังเครื่องบินตกหลุมอากาศรุนแรง นาทีระทึก! 'ลิลลี่'เผยคลิปร้องไห้หนัก หลังเครื่องบินตกหลุมอากาศรุนแรง
  • \'เมย์ วาสนา\'เผยเหตุผลส่งพวงหรีด ร่วมอาลัยในงานศพคุณพ่อ\'ดิว อริสรา\' 'เมย์ วาสนา'เผยเหตุผลส่งพวงหรีด ร่วมอาลัยในงานศพคุณพ่อ'ดิว อริสรา'
  • ต้อนรับสมาชิกใหม่! \'ตู่ ปิยวดี\'คลอดลูกสาวคนแรกแล้ว ต้อนรับสมาชิกใหม่! 'ตู่ ปิยวดี'คลอดลูกสาวคนแรกแล้ว
  • พยาบาลคนดังมาตอบแล้ว! ดราม่า\'ณเดชน์\'หอบหืด แต่วิ่งจนซิกแพคขึ้น พยาบาลคนดังมาตอบแล้ว! ดราม่า'ณเดชน์'หอบหืด แต่วิ่งจนซิกแพคขึ้น
  •  

Breaking News

เยียวยาจิตใจจากไฟสงคราม! ‘David’s Circle’พื้นที่ฟื้นฟูของชาวอิสราเอลในไทย

ปักหมุด 13 พ.ค.นี้ ‘เพื่อไทย’เปิดตัวโครงการใหม่‘Pheu Thai YPP’

ผบ.ตร.สั่งฟันเด็ดขาด! เหตุทำร้าย'ตำรวจ'ภายในหน่วยเลือกตั้ง จ.สงขลา

เช็คผลที่นี่!!! 'เลือกตั้งเทศบาล'ส่วนใหญ่แชมป์เก่าคว้าชัย

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved