9 เม.ย. 2563 เว็บไซต์ นสพ.South China Morning Post (SCMP) ของฮ่องกง เสนอข่าว “Coronavirus: Bangkok’s lockdown, curfew leave vulnerable Thai residents struggling” เมื่อ 8 เม.ย. 2563 ระบุว่า ในขณะที่กรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ใช้มาตรการปิดสถานที่ต่างๆ เพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19 อีกด้านหนึ่งได้สร้างผลกระทบอย่างมากกับประชาชนที่เป็นแรงงานหาเช้ากินค่ำ
อาทิ Gae อายุ 46 ปี เป็นลูกจ้างรับค่าแรงรายวันลำเลียงสินค้าในท่าเรือคลองเตย และพักอาศัยในชุมชนแออัดบริเวณดังกล่าว อยู่กับสามีที่เป็นพนักงานโรงแรมซึ่งถูกพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างระหว่างเดือน มี.ค.-เม.ย. 2563 เนื่องจากโรคระบาดทำให้นักท่องเที่ยวหายไปจากกรุงเทพฯ และโรงแรมไม่สามารถจ่ายค่าจ้างพนักงานได้ ที่โชคร้ายคือสามีของตนไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล เนื่องจากในทางกฎหมายยังถือเป็นลูกจ้างและอยู่ในกลุ่มผู้ประกันตนตามกฎหมายประกันสังคม
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า มีคนไทย 24 ล้านคน ลงทะเบียนขอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลจำนวน 5,000 บาท เป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งจะเริ่มทยอยโอนเงินให้ประชาชนได้ตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย. 2563 เป็นต้นไป แต่เงื่อนไขคือผู้ขอรับเงินนี้ต้องเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม ขณะที่ทางสำนักงานประกันสังคม เปิดเผยในเวลาต่อมาว่าแรงงานที่หยุดงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างมีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนประกันสังคม
รัฐบาลไทยยังออกมาตรการอื่นๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นเงิน 5.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.9 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศ รวมถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ท่ามกลางกระแสข่าวว่าอาจขยายมาตรการห้ามออกจากบ้าน หรือเคอร์ฟิว เป็น 24 ชั่วโมง ถึงกระนั้นรัฐบาลก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดว่า การสั่งปิดสถานที่ต่างๆ ทั้งในและนอกกรุงเทพฯ โดยไม่มีแผนรอบรับ ส่งผลให้ประชาชนอพยพออกจากเมืองเศรษฐกิจกลับภูมิลำเนาในชนบทหรือเมืองรอง นำไปสู่รายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 กระจายทั่วประเทศ
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ (Anusorn Tamajai) นักเศรษฐศาสตร์ ให้ความเห็นว่า รัฐบาลทำผิดพลาดเรื่องสั่งปิดสถานที่ต่างๆ ในกรุงเทพฯ แล้วไม่มีมาตรการทางเศรษฐกิจรองรับแรงงานรายได้น้อยในเมือง เมื่อมาตรการไม่มีการบูรณาการ ประเทศไทยจึงมีต้นทุนทางเศรษฐกิจสูงที่ต้องแบกรับ ขณะที่ ทองพูล บัวศรี (Thongpoon Buasri) นักเคลื่อนไหวทางสังคมในประเด็นคนไร้บ้านและเด็กเร่ร่อน กล่าวว่า มาตรการเคอร์ฟิว ห้ามออกจากบ้านตั้งแต่ 22.00-04.00 น. ที่บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. 2563 กระทบต่อคนที่ต้องใช้ชีวิตหลับนอนในที่สาธารณะ
และแม้ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะพยายามจัดหาที่พักให้กับผู้ได้รับผลกระทบทั้งที่เป็นคนไร้บ้านอยู่เดิมรวมถึงผู้ที่เพิ่งตกงานไม่มีที่อยู่ โดยเบื้องต้นได้จัดหาสถานที่รองรับได้ 1,400 คน แต่ในเวลาต่อมา กลับมีข่าวชาวชุมชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ชุมนุมประท้วงไม่ให้หน่วยงานภาครัฐนำคนไร้บ้านไปพักอาศัยใกล้กับชุมชนของพวกเขา ทองพูล ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้ว่า ภาครัฐดำเนินการเร็วเกินไปทั้งที่มีหลายประเด็นที่ต้องแยกแยะ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะนำคนทุกประเภทไปรวมกันได้ทั้งหมด
รายงานของสื่อฮ่องกงพากลับไปยังชุมชนแออัดย่านคลองเตย บ้านหลายหลังในพื้นที่สร้างจากแผ่นโลหะปิดเป็นผนังและหลังคาโดยแบ่งออกเป็นห้องเช่าย่อยๆ 4-5 ห้อง ซึ่งยิ่งเพิ่มโอกาสการติดเชื้อ คูมารี พริติ (Kumari Priti) อาสาสมัครช่วยเหลือสังคม เล่าว่า ชาวชุมชนคลองเคยได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดสถานที่ต่างๆ จึงไม่ได้ทำงาน ตนได้ไปบริจาคสบู่ ข้าวสารและอาหารกระป๋อง รวมถึงระดมทุนผ่านอินเตอร์เน็ตเพื่อจะได้เลี้ยงอาหาร 2 มื้อต่อวัน
ขณะที่ก่อนหน้านั้น ในวันที่ 5 เม.ย. 2563 SCMP ร่วมกับสำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศส เสนอข่าว “Desperate Thai sex workers like ‘Pim’ risk Covid-19 death just to pay rent” ระบุว่า การปิดสถานบันเทิงตามเมืองต่างๆ ของไทย เช่น กรุงเทพฯ หรือพัทยา ทำให้ผู้มีอาชีพขายบริการทางเพศต้องออกมาหาลูกค้าบนท้องถนน อาทิ Pim อายุ 32 ปี กล่าวว่า แม้ตนจะกลัวไวรัสโควิด-19 แต่ก็ต้องหาเงินเป็นค่าอาหารและที่พัก ในขณะที่อีกหลายคนเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อรอดูสถานการณ์
เช่นเดียวกับ Alice สาวประเภทสองที่ทำงานในสถานบริการ เล่าว่า ในช่วงที่ยังมีงานทำ บางครั้งตนมีรายได้ 300-600 เหรียญสหรัฐ หรือราว 10,000-20,000 บาทต่อสัปดาห์ แต่เมื่อสถานบริการถูกปิดก็กลายเป็นคนจนในชั่วพริบตา การดิ้นรนหลังจากนั้นก็เพื่อให้ยังมีค่าที่พักในโรงแรม อนึ่ง มีความกังวลว่าโครงการช่วยเหลือเงิน 5,000 บาทของรัฐบาลจะไม่สามารถไปถึงคนกลุ่มนี้ เพราะไม่สามารถพิสูจน์การจ้างงานได้ ทั้งนี้แม้จะเป็นอาชีพผิดกฎหมาย แต่ผู้ขายบริการทางเพศก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกยามราตรีในสังคมไทย
มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ (Empower Foundation) ซึ่งทำงานด้านสิทธิของผู้ขายบริการทางเพศรวมถึงแรงงานในสถานบันเทิงยามค่ำคืน เปิดเผยว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจของธุรกิจสถานบันเทิงยามค่ำคืนของไทยนั้นสูงถึง 6.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2.1 แสนล้านบาทต่อปี และจำนวนมากมาจากบริการทางเพศในรูปแบบต่างๆ โดยมูลนิธิฯ ย้ำเสมอว่าผู้หญิงกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดมากที่สุด หลายคนเป็นแม่หรือเป็นเสาหลักของครอบครัว จึงเรียกร้องให้รัฐบาลหามาตรการบรรเทาผลกระทบกับคนกลุ่มนี้ด้วย
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.scmp.com/week-asia/people/article/3078990/coronavirus-bangkoks-lockdown-curfew-leave-vulnerable-thai
https://www.scmp.com/news/asia/southeast-asia/article/3078489/desperate-thai-sex-workers-pim-risk-covid-19-death-just
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี