วันที่ 30 พฤษภาคม 2563 สำนักข่าว Japan Today ของญี่ปุ่น เสนอข่าว “Frontline health workers in Japan continue to face discrimination over virus” ระบุว่า ในขณะที่บุคลากรสาธารณสุขในทวีปยุโรปรวมถึงสหรัฐอเมริกา ได้รับการยกย่องเสมือนเป็นผู้กล้าที่เดินหน้าเข้าสู่สนามรบเพื่อต่อสู้กับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ปฏิกิริยาต่อ “นักรบชุดขาว” ในแดนอาทิตย์อุทัยกลับตรงข้าม กล่าวคือ พบเหตุการณ์ที่ชาวญี่ปุ่นแสดงท่าทีรังเกียจหรือหวาดกลัว
อาทิ ผลการสำรวจโดยสหภาพแรงงานวิชาชีพด้านสาธารณสุข เมื่อเดือน เม.ย. 2563 สอบถามบุคลากรในโรงพยาบาล 152 แห่งทั่วประเทศ พบว่า ร้อยละ 9.9 มีประสบการณ์ถูกตีตราและเลือกปฏิบัติ เช่น ได้รับการขอร้องจากคนในครอบครัวไม่ให้กลับบ้าน ถูกพูดจารุนแรงเมื่อโทรศัพท์กลับไปที่บ้าน แม้กระทั่งมีการแสดงท่าทีรังเกียจหรือหวาดกลัวจากเจ้าหน้าที่ในแผนกอื่นๆ หรือแม้แต่โรงพยาบาลและบุคลากรในโรงพยาบาลยังถูกสังคมตำหนิหากพบผู้ติดเชื้อโควิด-19
การเลือกปฏิบัติยังลามไปถึงบุตรหลานของบุคลากรสาธารณสุขด้วย โดยมีการกีดกันไม่ให้เข้าโรงเรียนอนุบาลหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก รวมถึงให้อยู่ห่างๆ จากโรงเรียน อาทิ รพ.ศูนย์เมืองโกเบ จ.เฮียวโกะ ซึ่งมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการรักษาตัว ยอดรวม ณ วันที่ 22 พ.ค. 2563 จำนวน 96 คน บุคลากรสาธารณสุข 29 คน ที่ทำงานกับผู้ติดเชื้อ ยอมรับว่า ตนเองและครอบครัวพบเจอสถานการณ์การถูกเลือกปฏิบัติ อาทิ พยาบาลรายหนึ่งที่มีสามีเป็นพนักงานบริษัท สามีนั้นถูกข่มขู่ไม่ให้ไปทำงานที่ออฟฟิศ เว้นแต่ภรรยาจะยอมลาออกจากอาชีพพยาบาล
โคสุอิ ทาโกะ (Kosui Tago) ชายวัย 27 ปี เป็นบุรุษพยาบาลประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.นากาโนะ เล่าว่า ลูกสาวของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้นประถม ถูกเพื่อนๆ ล้อด้วยชื่อ “โคโรนาจัง” และมีพยาบาลอีกรายต้องอยู่ห่างๆ ลูกชายไว้ เพราะไม่อยากให้ลูกถูกเพื่อนๆ ที่โรงเรียนรังแก ทั้งนี้ตนไม่ได้คาดหวังว่าผู้คนจะต้องยกย่องบุคลากรสาธารณสุขในฐานะผู้กล้า และตนก็เพียงทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเท่านั้น ตนเข้าใจเรื่องความกังวล แต่ผู้คนที่เลือกปฏิบัติควรจะมีมุมมองที่กว้างขึ้น
มาโฮ อิโซโนะ (Maho Isono) นักมานุษยวิทยาด้ายการแพทย์ ให้ความเห็นว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากความผิดพลาดในการสื่อสารของรัฐบาลต่อประชาชน เช่น เมื่อผู้คนต้องหลีกเลี่ยงบุคคลที่สัมผัสเชื้อ ก็เป็นที่เข้าใจว่านี่เป็นวิธีป้องกันความเสี่ยงที่ผู้คนจะเลือกปฏิบัติต่อบุคลากรสาธารณสุข แม้จะเป็นเรื่องผิดในเชิงศีลธรรมก็ตาม จึงเรียกร้องให้ทั้งภาครัฐตลอดจนสื่อมวลชนเร่งสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจให้มากขึ้น
ทัตสึยะ ซาโต (Tatsuya Sato) นักวิชาการด้านจิตวิทยาสังคม มหาวิทยาลัยริทสุเมอิกัน (Ritsumeikan University) กล่าวว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดปฏิกิริยาเกลียดชังความเสี่ยง เนื่องจากญี่ปุ่นมีการตรวจคัดกรองด้วยวิธี PCR เพียงไม่กี่ครั้ง นำไปสู่กระแสข่าวที่ว่าผู้ติดเชื้อจริงอาจมีจำนวนมากกว่าในรายงานของทางการ
และเมื่อรัฐบาลใช้วิธีการขอความร่วมมือประชาชนให้ดูแลตนเอง ก็เป็นธรรมดาที่ประชาชนจะย้ายตนเองออกจากจุดเสี่ยง นั่นรวมถึงการอยู่ห่างๆ จากบุคลากรสาธารณสุขด้วย ซึ่งตนเชื่อว่า พฤติกรรมทำนองนี้จะยังคงดำรงอยู่ต่อไปจนกว่าจะมีวัคซีนหรือยาที่พิสูจน์ว่ารักษาโรคได้อย่างชัดเจน หาไม่แล้ว การรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) จะยังถูกมองต่อไปว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการป้องกัน หรือการที่สามารถมองออกว่าใครติดหรือไม่ติดเชื้อ แต่กับไวรัสโควิด-19 นั้นทำได้ยาก
อีกด้านหนึ่ง แม้กระทั่งบุคลากรสาธารณสุขที่ไม่ได้ทำงานกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ก็ยังถูกดูหมิ่นดูแคลน อาทิ หญิงวัย 40 ปีเศษรายหนึ่งซึ่งเป็นพยาบาลประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.โอซากา ซึ่งที่นี่ไม่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการรักษา เปิดเผยว่า ตนถูกคนรู้จักพูดจาเสียดสีว่าเป็นพยาบาลที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับสังคม ตนนั้นเป็นผู้ช่วยพยาบาลมา 14 ปี และเป็นพยาบาลมา 8 ปี ทำงานจนดึกดื่นเป็นประจำแม้จะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวต้องดูแลลูก 3 คนก็ตาม ทั้งนี้แม้โรงพยาบาลที่ตนทำงานอยู่ไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 แต่ก็ต้องดูแลผู้ป่วยโรคอื่นๆ เช่นกัน
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า เพื่อเป็นการเปลี่ยนทัศนคติของสังคม ผู้คนในวงการกีฬาของญี่ปุ่นเริ่มจุดกระแสเป็นกลุ่มแรก โดยช่วงต้นเดือน เม.ย. 2563 นักฟุตบอลอาชีพในญี่ปุ่น 5 คน สร้างบัญชีอินสตาแกรม “ThanksMedicalWorkers” โดย คาซูกิ นากาซาวา (Kazuki Nagasawa) กองหน้าดาวเด่นจากทีม Urawa Reds อธิบายว่า พวกตนต้องการส่งกำลังใจไปยังบุคลากรสาธารณสุข จากนั้นนักกีฬาอาชีพคนอื่นๆ ทั้งเทนนิส มวยและเบสบอล ก็เริ่มแสดงจุดยืนเดียวกัน ด้วยการโพสต์ภาพตนเองชูกำปั้นขึ้นฟ้า
ขณะที่วงการอื่นๆ อาทิ Godiva Japan Inc ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตรายใหญ่ของญี่ปุ่น จัดกิจกรรมส่งมอบช็อกโกแลตและคุ้กกี้ เป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขและความหวัง แก่บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล 1,000 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่ช่วงกลางเดือน เม.ย. 2563 กิจกรรมดังกล่าวได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ในประเทศเบลเยียม เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 (ปี 2484-2488) ยุติลง ผู้ก่อตั้ง Godiva บริษัทแม่ในเบลเยียม ได้นำช็อกโกแลตที่บริษัทผลิตออกมาแจกจ่ายให้กับประชาชน
ในหลายพื้นที่ของญี่ปุ่น ยังมีกิจกรรมนัดหมายปรบมือให้กำลังใจบุคลากรสาธารณสุข ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากยุโรปและสหรัฐฯ อาทิ เมืองอิวากิ จ.ฟุกุชิมะ เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการ รวมตัวกันบริเวณล็อบบี้ ปรบมือเป็นเวลา 30 วินาที ณ เวลาเที่ยงตรง ตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย. 2563 เป็นต้นมา โดย ฮิโรชิ นุมาตะ (Hiroshi Numata) เจ้าหน้าที่ประจำแผนกสุขภาพและสวัสดิการ กล่าวว่า การปรบมือเป็นประจำช่วยเตือนไม่ให้เครียดและให้ระมัดระวังพฤติกรรม
กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น ส่งฝูงบินขึ้นบินผาดโผนเป็นเวลา 20 นาที เหนือน่านฟ้ากรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2563 แสดงความเคารพบุคลากรสาธารณสุขในฐานะด่านหน้ารับมือโรคระบาด ขณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งในญี่ปุ่น นำกลไกการจ่ายภาษีบำรุงท้องที่มาใช้เพื่อเปิดช่องให้ประชาชนร่วมบริจาคเงินสำหรับจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น หน้ากากอนามัยและยาฆ่าเชื้อ นำไปส่งมอบตามโรงพยาบาลต่างๆ
ที่ จ.ฮอกไกโด ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น เริ่มเปิดรับบริจาคตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย. 2563 พบว่า มียอดเงินบริจาคถึง 50 ล้านเยน หรือราว 15 ล้านบาท ในเวลาเพียง 2 วัน ฮอกไกโดเป็นพื้นที่ที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่เดือน ก.พ. 2563 หรือก่อนหน้าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศจากรัฐบาลกลาง และเป็นพื้นที่ทีได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 2 ชิเกะโนริ โกโต (Shigenori Goto) กล่าวว่า การเปิดรับบริจาคจะมีไปจนถึงเดือน ก.ค. 2563 เพื่อแสดงให้เห็นถึงแรงสนับสนุนของประชาชนต่อการทำงานของบุคลากรสาธารณสุข
ขอบคุณเรื่องจาก : https://japantoday.com/category/national/Frontline-health-workers-in-Japan-continue-to-face-discrimination-over-virus
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี