23 กันยายน 2563 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวถึงกรณีสหรัฐฯ ตรวจพบผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) แตะ 200,000 ราย ว่าเป็นเรื่อง "น่าอาย" พร้อมอ้างว่าสถานการณ์การระบาดในประเทศอาจเลวร้ายยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้

"ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าอาย" ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว ขณะพยายามแก้ต่างผลการดำเนินงานรับมือโรคระบาดใหญ่ของฝ่ายบริหาร

"ผมมองว่า หากเรารับมือกับโรคอย่างไม่เหมาะสมและถูกต้อง จำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตในประเทศอาจมากถึง 2.5 ล้านราย" ทรัมป์กล่าว "ถ้าคุณลองดูความเป็นไปได้อื่น คุณจะเห็นว่ายอดผู้ป่วยเสียชีวิตของเราอาจพุ่งแตะ 2.5 ล้านรายหรือราวๆ นั้น เราอาจมีรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตเยอะกว่านี้มาก"

ศูนย์วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเชิงระบบ (CSSE) แห่งมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ ระบุว่าจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ของสหรัฐฯ พุ่งเกิน 200,000 ราย เมื่อนับถึงวันอังคาร (22 ก.ย.) ขณะจำนวนผู้ป่วยสะสมสูงกว่า 6.8 ล้านรายแล้ว

สหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดใหญ่หนักหน่วงที่สุด โดยตรวจพบผู้ป่วยและผู้ป่วยเสียชีวิตสูงสุดในโลก ครองสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในห้าของผู้ป่วยเสียชีวิตทั่วโลก

"การที่สหรัฐฯ มีผู้ป่วยเสียชีวิตเกิน 200,000 ราย เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกตระหนักและตกใจในบางแง่มุม" แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวระหว่างการประชุมทางไกลที่จัดโดยสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น

เฟาซี หนึ่งในสมาชิกกองปฏิบัติการรับมือโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาว ปฏิเสธจะทำการประเมินว่าสหรัฐฯ รับมือกับการระบาดของโรคได้ดีในระดับใด แต่ชี้ว่าตัวเลขผู้ป่วยสะสมและผู้ป่วยเสียชีวิตบ่งบอกชัดเจนอยู่แล้ว

“ผมอยากให้คุณมองที่ตัวเลขและลองตัดสินใจ” เฟาซีกล่าว "คุณไม่จำเป็นต้องได้ยินประโยคเด็ดอะไรจากผม แค่ลองมองที่ตัวเลข"

ด้านแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร สหรัฐฯ ได้ทวีตข้อความว่า"ความเจ็บปวดครั้งนี้หนักหน่วงยิ่งขึ้น เพราะความจริงสถานการณ์ไม่จำเป็นต้องเลวร้ายแบบนี้" พร้อมเสริมว่า"โศกนาฏกรรมครั้งประวัติศาสตร์" เป็นผลพวงมาจากการที่ทำเนียบขาว "เพิกเฉยต่อวิทยาศาสตร์ การกำกับดูแล และสุขภาพของคนอเมริกัน"