ม็อบบุกรัฐสภาสหรัฐ
ฝ่ายหนุนทรัมป์ก่อจลาจลเดือด
ต้าน‘ไบเดน’รับตำแหน่งปธน.
ถูกยิงสกัดดับ4-จับกุมอีก52คน
ผู้นำโลกแห่รุมประณามป่าเถื่อน
ม็อบสนับสนุน“โดนัลด์ ทรัมป์”ก่อจลาจลบุก“สภาคองเกรส” เพื่อขัดขวางการประชุมร่วมของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก ในการรับรองมติของคณะผู้เลือกตั้ง ในการให้นายโจ ไบเดน ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เป็นเหตุให้ปะทะกับเจ้าหน้าที่ จนมีผู้ถูกยิงเสียชีวิตอย่างน้อย 4 ศพ และถูกจับกุมตัวมากกว่า 50 คนถือเป็นเหตุรุนแรงที่สุดในรอบ 200 ปี ขณะที่ผู้นำหลายประเทศร่วมประณามผู้ก่อเหตุ และสนับสนุนให้สหรัฐฯ ถ่ายโอนอำนาจไปสู่รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งอย่างสันติและเป็นระเบียบเรียบร้อย
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ในช่วงบ่ายของวันที่ 6 มกราคม (เวลาในสหรัฐอเมริกา) หรือช่วงเช้ามืดของวันที่ 7 มกราคม ตามเวลาประเทศไทยว่า เกิดเหตุกลุ่มผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ รวมตัวกันประท้วงการประชุมสภาคองเกรสสหรัฐ เพื่อขัดขวางการประชุมร่วมของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เพื่อรับรองมติของคณะผู้เลือกตั้ง ในการให้ นายโจ ไบเดน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต คว้าชัยชนะไปได้ เตรียมดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่
รายงานข่าวระบุว่า กลุ่มผู้ชุมมนุมซึ่งทรัมป์เป็นผู้เรียกร้องให้ออกมาชุมนุมกดดันการยืนยันผลการนับคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีก่อนหน้านี้ ได้ดันแผงกั้นก่อนบุกเข้าไปในตัวอาคารจนต้องปะทะกับเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนตั้งแต่เวา 13.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยเจ้าหน้าที่ต้องใช้สเปรย์พริกไทย และมีรายการการใช้แก๊สน้ำตาจนเกิดเสียงดัง และมีกลุ่มควันลอยคละคลุ้งบริเวณอาคารท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวาย ขณะที่มีรายงานว่ากลุ่มผู้ชุมนุมบุกเข้าไปในห้องประชุมวุฒิสภาด้วย
วอชิงตัน ดี.ซี.ประกาศเคอร์ฟิว
รายงานระบุอีกว่า ในช่วงเวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้อาวุธปืนขู่กลุ่มผู้ประท้วงที่พยายามบุกเข้าไปในตัวอาคารรัฐสภาด้วย ล่าสุดมีรายงานว่ามีหญิงรายหนึ่งถูกยิงที่หน้าอกจนเสียชีวิตในพื้นที่อาคารรัฐสภา อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว หลังกลุ่มผู้ประท้วงบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาได้ เจ้าหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรได้สั่งให้มีการอพยพบรรดา ส.ส.ออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน
มีรายงานว่า นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ร่วมการประชุมก็ต้องอพยพจากตัวอาคารเช่นกัน ขณะที่ ส.ส.บางคนสวมหน้ากากกันแก๊สพิษขณะอพยพออกจากตัวอาคารด้วย
รายงานระบุว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ และต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยรายงานระบุว่าเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมพื้นที่อาคารรัฐสภาเอาไว้ได้ในเวลา 17.40น.ตามเวลาท้องถิ่น ก่อนที่นายมูเรียล โบว์เซอร์ นายกเทศมนตรีกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ประกาศคำสั่งเคอร์ฟิว ในเวลา 18.00น.โดยให้มีผลจนถึง 06.00 น. ของวันที่ 7 มกราคมตามเวลาท้องถิ่น
ทั้งนี้ มีรายงานระบุว่า เหตุอาคารรัฐสภาสหรัฐถูกบุกรุกดังกล่าว นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่อังกฤษบุกโจมตีและเผาอาคารรัฐสภาในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.1814 หรือเมื่อกว่า 200 ปีก่อน
มีผู้เสียชีวิต4ถูกจับกุมกว่า50คน
ต่อมา เจ้าหน้าที่โรเบิร์ต คอนตี ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจกรุงวอชิงตัน แถลงว่า เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์ที่อาคารรัฐสภาไว้ได้แล้ว ทั้งนี้ แม้เจ้าหน้าที่สามารถอพยพสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดได้ทันเวลา และย้ายตัวรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ไปยังสถานที่ปลอดภัยนานหลายชั่วโมง แต่การบุกรุกสถานที่ราชการเป็นการกระทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง เจ้าหน้าที่จึงใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดภายในกรอบของกฎหมาย เพื่อควบคุมสถานการณ์
คอนตี ยืนยันว่าตำรวจได้ยิงผู้ประท้วงหญิงคนหนึ่งเสียชีวิต และได้แจ้งให้ครอบครัวของผู้วายชนม์รับทราบแล้ว ขณะเดียวกันยังมีผู้เสียชีวิตอีกอย่างน้อย 3 คน แต่ทุกฝ่ายยังสงวนข้อมูลทั้งหมด โดยเผยเพียงว่า ทั้งสามคนเสียชีวิตระหว่างขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือของหน่วยกู้ภัย
ขณะเดียวกัน ตำรวจจับกุมผู้ก่อความไม่สงบได้อย่างน้อย 52 คน และเจ้าหน้าที่พบระเบิดแสวงเครื่อง ที่อาคารที่ทำการของพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต ในกรุงวอชิงตัน และระเบิดขวดจำนวนหนึ่งซุกซ่อนอยู่ภายในรถยนต์คันหนึ่งด้วย ตอนนี้อยู่ระหว่างติดตามตัวผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับระเบิดเหล่านี้มาสอบสวน
ผู้นำโลกประณามใช้ความรุนแรง
นายชาร์ลส์ มิเชล ประธานคณะมนตรียุโรป ทวีตว่าเขาช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวอชิงตัน เพราะสภาคองเกรสถือเป็นดั่งวิหารของประชาธิปไตย เราเชื่อมั่นว่าสหรัฐจะสามารถรับรองความสงบสุขในการถ่ายโอนอำนาจไปยังนายไบเดน
นางอูร์ซุลา วอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปการแสดงความเชื่อมั่นต่อความเข้มแข็งของสถาบันและประชาธิปไตยของสหรัฐ การถ่ายโอนอำนาจโดยสันติถือเป็นหัวใจหลัก นายไบเดนเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง และเธอตั้งตารอที่จะทำงานร่วมกับประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐต่อไป
นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษทวีตว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรัฐสภาสหรัฐเป็นเรื่องอัปยศ สหรัฐได้ยืนหยัดเพื่อประชาธิปไตยทั่วโลก จึงถือเป็นสิ่งสำคัญในขณะนี้ที่จะต้องมีการถ่ายโอนอำนาจโดยสันติและเป็นระเบียบเรียบร้อย
นายสเตฟาน เลอเวน นายกรัฐมนตรีสวีเดนทวีตว่า สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นการโจมตีประชาธิปไตย ประธานาธิบดีทรัมป์และสมาชิกสภาคองเกรสต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งนี้ กระบวนการเลือกตั้งประธานาธิบดีตามระบอบประชาธิปไตยจะต้องได้รับการเคารพ
ด้าน นายสก็อต มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ทวีตว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงวอชิงตันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลใจ พร้อมกับประณามการใช้ความรุนแรง และรอให้มีการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติไปยังรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งตามธรรมเนียมประชาธิปไตยอันยิ่งใหญ่ของสหรัฐ
นายเปโดร ซานเชส นายกรัฐมนตรีสเปน ทวีตว่า กำลังติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เชื่อมั่นในความเข้มแข็งของประชาธิปไตยสหรัฐ และเชื่อว่า นายไบเดน ประธานาธิบดีใหม่จะสามารถก้าวข้ามช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด และรวบรวมให้ประชาชนสหรัฐกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันได้อีกครั้ง นายไฮโก มาส รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี กล่าวว่า ศัตรูของประชาธิปไตยจะรู้สึกว่าได้รับการส่งเสียงเชียร์จากความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงของสหรัฐ และว่าความรุนแรงเกิดขึ้นจากคำพูดยั่วยุที่ทำให้คนเดือดดาล พร้อมกับเรียกร้องให้ทรัมป์และผู้สนับสนุนยอมรับการตัดสินใจของชาวอเมริกัน และหยุดเหยียบย่ำประชาธิปไตย
ไบเดนซัดไม่ใช่ประท้วงแต่จลาจล
ขณะที่ นายไบเดนออกมาระบุว่า ประชาธิปไตยของสหรัฐกำลังถูกโจมตีอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พร้อมกับเรียกร้องให้ทรัมป์ออกทีวีเพื่อทำตามคำสาบานที่เคยให้ไว้ว่าจะปกป้องประชาธิปไตย และบอกให้กลุ่มผู้สนับสนุนยุติการยึดรัฐสภา การบุกเข้าไปในรัฐสภา ทุบกระจก ยึดครองสำนักงานของสมาชิกวุฒิสภา ค้นข้าวของบนโต๊ะทำงานกระจุยกระจาย และข่มขู่ความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้ง นี่ไม่ใช่การประท้วงแต่เป็นการก่อจลาจล
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า เฟซบุ๊ก และ ทวิตเตอร์ สื่อสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่ ได้ประกาศแบนบัญชีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐลงเป็นการชั่วคราว นับเป็นการดำเนินการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หลังจากกลุ่มผู้ประท้วงสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ บุกอาคารรัฐสภาเพื่อต่อต้านการยืนยันผลคะแนนเลือกตั้งของนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อไป
ครม.หารือปลดทรัมป์พ้นตำแหน่ง
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มหารือความเป็นไปได้ที่จะปลดประธานาธิบดีออกจากตำแหน่ง หลังจากที่กลุ่มผู้สนับสนุนหัวรุนแรงของ ทรัมป์ บุกเข้าไปก่อจลาจลภายในอาคารรัฐสภา โดยกระบวนการดังกล่าวจะต้องอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ 25 (25th Amendment) ซึ่งอนุญาตให้รองประธานาธิบดีและคณะรัฐมนตรีสามารถทำหนังสือแจ้งต่อสภาคองเกรสเพื่อขอถอดประธานาธิบดีออกจากตำแหน่ง ในกรณีที่เชื่อว่าผู้นำสหรัฐฯ ไม่สามารถใช้อำนาจและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี