วันที่ 21 กรกฎาคม 2566 สำนักข่าว Channel News Asia ของสิงคโปร์ เผยแพร่บทความ Commentary: Will third time be a charm for Thailand to pick next prime minister? ซึ่งเขียนโดย แฮร์ริสัน เฉิง (Harrison Cheng) ผู้อำนวยการบริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยง Control Risks ที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอนของอังกฤษ ว่าด้วยสถานการณ์ในประเทศไทยที่ยังไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้แม้ผ่านวันเลือกตั้งมากว่า 2 เดือนแล้วก็ตาม ดังนี้
รัฐสภาของไทยนัดประชุมกันเมื่อวันพุธที่ 19 ก.ค. 2566 เพื่อทำในสิ่งที่ล้มเหลวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว: เลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่และนำพาประเทศไปข้างหน้าหลังจากดำเนินกลยุทธ์ทางการเมืองมากว่า 2 เดือนหลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พ.ค. 2566 แต่ก็ล้มเหลวอีกครั้ง ทั้งที่ควรจะเป็นการโหวตครั้งที่สองและครั้งสุดท้ายของหัวหน้าพรรคก้าวไกล พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (Pita Limjaroenrat) สำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากล้มเหลวในการพยายามครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม อย่างไรก็ตาม เขาต้องออกจากห้องประชุมโดยไม่ได้รับการโหวตครั้งที่สอง
สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ฝ่ายอนุรักษนิยมชะลอการลงคะแนนเสียงด้วยการท้าทายการเสนอชื่อของพิธาอย่างรุนแรง โดยให้เหตุผลว่าการเสนอชื่อนายกฯ ถือเป็นญัตติของรัฐสภา ซึ่งไม่สามารถยื่นใหม่ได้หากไม่ผ่านในช่วงสมัยเดียวกัน 7 ชั่วโมงต่อมา การเสนอชื่อใหม่ของเขาถือเป็นโมฆะในการลงคะแนนแยกต่างหาก แต่การจากไปของพิธาไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเกิดจากความไม่พอใจที่ สว. ที่ได้รับการสนับสนุนโดยกองทัพ และ ส.ส. จากพรรคต่างๆ ที่ถูก MFP ประณามในเดือน พ.ค. 2566 อาจขัดขวางเส้นทางสู่ชัยชนะของเขา
พิธาต้องเดินออกจากที่ประชุมรัฐสภาเนื่องจากจังหวะที่ไร้ที่ติในวันเดียวกันโดยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญให้ระงับเขาจากการปฏิบัติหน้าที่ สส. ทันที เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าละเมิดกฎการเลือกตั้ง รัฐสภาไทยจะลงคะแนนเสียงอีกครั้งในวันที่ 27 ก.ค. 2566 แต่การต่อต้านของฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่ให้พรรคก้าวไกลเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลชุดต่อไปจะยังคงสร้างเมฆบดบังโอกาสที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะปรากฏตัวภายในเวลานั้น
การที่พิธาถูกขับออกจากรัฐสภาอย่างไม่เป็นทางการ บ่งชี้ว่าเขาไม่น่าจะมีสิทธิ์ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีในระหว่างการประชุมรัฐสภาในช่วงนี้ แม้การถูกพักการเป็น สส. ไม่ได้เป็นตัวการขัดขวางไม่ให้เขาถูกเสนอชื่อโหวตนายกฯ ในสัปดาห์หน้า เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้คนเป็นนายกฯ ต้องเป็น สส. อย่างไรก็ตาม สว. และ สส.ฝ่ายอนุรักษ์นิยมประสบความสำเร็จในการตีความของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่ถือเป็นญัตติของรัฐสภาต่อร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ได้ระบุการจำกัดจำนวนครั้งในการเสนอชื่อผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
สิ่งนี้น่าจะเป็นแบบอย่าง ซึ่งจะได้รับการปกป้องอย่างดุเดือดจากชนชั้นสูงและสถาบันอนุรักษ์นิยม และอาจถูกใช้เป็นอาวุธเพื่อยุติความทะเยอทะยานของผู้ปรารถนาเป็นนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ ถึงกระนั้น คาดว่า พิธา จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการเมืองต่อไป ไม่ว่าจะเป็น สส. และหัวหน้าพรรคอย่างเป็นทางการ หรืออยู่เบื้องหลังอย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (Thanathorn Juangroongruangkit) ผู้นำพรรคอนาคตใหม่ พรรคการเมืองรุ่นก่อนหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบไปในปี 2563
หากพรรคก้าวไกลสามารถหลบหนีชะตากรรมที่เคยเกิดขึ้นกับพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งห้ามไม่ให้ผู้บริหารพรรคดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ดาวเด่นอย่างพิธาอาจได้ฉายแสงอีกครั้งในปีหน้า เพราะวาระของ สว. ชุดปัจจุบันที่ได้รับการคัดเลือกโดยทหารจะสิ้นสุดในเดือน พ.ค. 2567 และ สว. ชุดถัดไปก็จะไม่มีอำนาจในการเข้าร่วมกับ สส. ในการเลือกนายกรัฐมนตรีอีก
ขณะนี้ทุกสายตาจับจ้องไปที่พันธมิตรสำคัญอย่างพรรคเพื่อไทย ในการเสนอชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งครั้งหน้าในวันที่ 27 ก.ค. 2566 ก่อนหน้านี้ พิธาเคยกล่าวไว้ว่า หากตนไม่ได้คะแนนเสียงมากในวันที่ 19 ก.ค. 2566 เขาจะปล่อยให้พรรคเพื่อไทยเป็นผู้นำการจัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยน่าจะเสนอชื่อ เศรษฐา ทวีสิน (Srettha Thavisin) เจ้าพ่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือไม่ก็ แพทองธาร ชินวัตร (Paetongtarn Shinawatra) ลูกสาวคนเล็กของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร (Thaksin Shinawatra)
อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรรับประกันเส้นทางสู่ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยหรือพรรคพันธมิตรโดยรวม เพราะฝ่ายอนุรักษนิยมแทบจะเรียกร้องให้เขี่ยพรรคก้าวไกลพ้นจากการร่วมรัฐบาลเพื่อแลกกับการสนับสนุนตัวแทนของพรรคเพื่อไทย และแม้พรรคก้าวไกลจะยอมถอนตัวจากจากความพยายามแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ตาม หากพรรคก้าวไกลถูกไล่ไปสุดชายขอบ ทางเดียวที่เป็นไปได้สำหรับพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากคือการทำงานร่วมกับพรรคต่างๆ ที่รวมรัฐบาลชุดเดิม นอกจากนั้น พรรคเพื่อไทยอาจยิ่งเข้าตาจน หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค
ท้ายที่สุด พรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มที่จะร่วมมือกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่ดำรงตำแหน่งอยู่ โดยหวังว่าอำนาจของการดำรงตำแหน่งและการยุบสภาของพรรคจะทำให้ได้เปรียบอย่างชัดเจนเหนือพรรคทางเลือกที่สนับสนุนประชาธิปไตย ในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้าซึ่งมีกำหนดภายในปี 2570 หรืออีกทางหนึ่ง ประเทศไทยอาจลงเอยด้วยรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ประกอบด้วยพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่ดำรงตำแหน่งอยู่ หากพรรคเพื่อไทยปฏิเสธที่จะร่วมงานกับพวกเขาอย่างดื้อรั้นเพื่อเห็นแก่ทัศนวิสัยของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ก้าวหน้า
สว. สามารถช่วยเหลือพรรคร่วมรัฐบาลที่ดำรงตำแหน่งเป็นวาระสุดท้ายก่อนจะสิ้นสุดวาระในเดือน พ.ค. 2567 โดยสนับสนุนรองนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้สมรู้ร่วมคิดรัฐประหาร พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (Prawit Wongsuwan) เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คงไม่ฉลาดที่จะประเมินอายุยืนยาวของรัฐบาล พล.อ.ประวิตร ต่ำไป องคาพยพเดียวกันที่ทำลายการเสนอชื่อของพิธาในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ประกอบกับการแปรพักตร์และมาตรการพิเศษอื่นๆ ของรัฐสภา อาจยืดอายุการเก็บรักษาของรัฐบาลเสียงข้างน้อยอย่างไม่เป็นจริงในอีกหลายปีข้างหน้า
นักลงทุนและธุรกิจต่างชาติแทบจะไม่สนใจ เนื่องจากรัฐสภาเป็นสนามที่วางทุ่นระเบิดจริงเนื่องจากความเสี่ยงของญัตติไม่ไว้วางใจ กิจกรรมด้านนิติบัญญัติจะถูกกีดกันเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารในการกำหนดนโยบาย ธุรกิจควรคาดหวังการปฏิรูปที่ช้าลง มักวางแผนอย่างคลุมเครือและไม่มีการปรึกษาหารือที่มีความหมายกับภาคเอกชน และการขาดแคลนแนวคิดใหม่ๆ ในการคิดค้นนโยบายการลงทุนและการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจของภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคส่วนที่ถูกครอบงำโดยกลุ่ม บริษัท ที่เกี่ยวโยงกันทางการเมือง
ขณะที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวไทยอาจปฏิเสธการปกครองของทหารมานานหลายปี แต่อาจเป็นความว่างเปล่าทางการเมืองแทนการเปลี่ยนแปลงที่รออยู่
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.channelnewsasia.com/commentary/thailand-prime-minister-pita-pheu-thai-shinawatra-government-3642296
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี