สื่อนอกจับตา‘ไทย’ส่งเสริมใช้สกุลเงิน‘จีน-มาเลย์-อินโดฯ’ ลดความเสี่ยง‘บาท-ดอลลาร์’ผันผวน
8 ส.ค. 2566 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก เสนอข่าว Thailand Pushes Yuan, Ringgit Use to Curb Impact of Baht Swings อ้างการเปิดเผยจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ประเทศไทยวางแผนที่จะส่งเสริมการใช้เงินหยวนของจีนและสกุลเงินอื่นๆ ในทวีปเอเชีย ในการค้าและการลงทุนเพื่อควบคุมการผันผวนของสกุลเงินบาทของไทยเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกา
โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อลิศรา มหาสันทนะ (Alisara Mahasandana) ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. อธิบายว่า การใช้สกุลเงินในภูมิภาคมากขึ้นจะช่วยลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากสกุลเงินเหล่านี้มักจะเคลื่อนไหวควบคู่กับเงินบาท ทั้งนี้ แม้ความพยายามของไทยในการส่งเสริมสกุลเงินอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์จะมีมานานกว่าทศวรรษ แต่กำลังได้รับแรงผลักดันในขณะนี้ด้วยการจัดการระดับทวิภาคีของธนาคารกลางและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน
“ประเทศไทยซึ่งพึ่งพาการค้าและการท่องเที่ยว เป็นหนึ่งในหลายประเทศที่ดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงของเงินดอลลาร์ที่ยังคงแข็งค่าซึ่งทำให้สกุลเงินท้องถิ่นอ่อนค่าลงและกลายเป็นเครื่องมือของเศรษฐกิจของรัฐ ธปท. ทำงานร่วมกับคู่ค้าจากจีน มาเลเซีย และอินโดนีเซียเพื่อส่งเสริมสกุลเงินท้องถิ่นในประเทศของตน จะเห็นความคืบหน้ามากขึ้นในครึ่งหลัง” อลิศรา กล่าว
เงินบาทแข็งค่าขึ้นร้อยละ 3 ในเดือน ก.ค. 2566 ซึ่งมากที่สุดในบรรดาสกุลเงินหลักในเอเชีย หลังจากร่วงลงเป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน มาตรวัดคาดการณ์การแกว่งตัวของราคาเงินบาทใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2566 ซึ่งผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. ระบุว่า ความผันผวนของเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีเครื่องมือมากขึ้นเพื่อรับมือกับสิ่งนั้น
ธนาคารกลางของไทยเริ่มปรับปรุงกฎการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในปี 2563 โดยค่าเงินบาทอยู่ในรายการตรวจสอบของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ สำหรับการยักย้ายถ่ายเทสกุลเงิน แต่การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกิดขึ้นได้ยากในช่วงที่เกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการหายไปของรายได้จากการท่องเที่ยวหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้เงินบาทร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปีในปีที่แล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ดีดตัวกลับมาประมาณร้อยละ 10
ประเทศไทยได้ส่งเสริมการใช้สกุลเงินภูมิภาคมาตั้งแต่ปี 2554 แต่การยอมรับเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากอุปสรรคต่างๆ ตั้งแต่กฎการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เข้มงวด การขาดสภาพคล่องของสกุลเงินท้องถิ่น ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงสูง และขาดความตระหนัก ขณะที่การค้าในสกุลเงินหยวนกับจีน ซึ่งเป็นหุ้นส่วนการค้าและการลงทุนรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.2 ในปีที่แล้วจากประมาณร้อยละ 0.3 ของการค้าทั้งหมดในปี 2558 แต่ปัจจุบันสามารถใช้เงินหยวนได้มากขึ้น เนื่องจากจีนเพิ่งผ่อนคลายกฎระเบียบและบริษัทต่างๆ ที่เปิดกว้างมากขึ้นในการสำรวจทางเลือกเพื่อลดความเสี่ยงค่าเงิน
ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. ยอมรับว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะลดการใช้เงินดอลลาร์ เนื่องจากเป็นสกุลเงินที่มีสภาพคล่องมากที่สุดและเป็นสกุลเงินที่ใช้กันแพร่หลายที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าเราควรหยุดติดตามโครงการนี้ อย่างน้อยเราควรเสนอทางเลือกให้พวกเขาเพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ธปท. มีแผนกระตุ้นการใช้สกุลเงินในภูมิภาค ได้แก่
1.หารือกับธนาคารประชาชนจีนเพื่อผ่อนปรนกฎการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและเพิ่มสภาพคล่องเงินหยวน 2.เรียกร้องให้ธนาคารในประเทศลดต้นทุนการทำธุรกรรมเงินหยวน 3.เพื่อขยายขอบเขตการทำธุรกรรมสำหรับโครงการตัวแทนจำหน่ายข้ามสกุลเงินที่ได้รับการแต่งตั้งสำหรับสกุลเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซีย และริงกิตของมาเลเซีย 4.เพิ่มจำนวนตัวแทนแลกเปลี่ยนสกุลเงินสำหรับรูเปียห์และริงกิต และ 5.จัดกิจกรรมรณรงค์ให้ผู้ประกอบธุรกิจรู้จักการใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการค้าและการลงทุน
“การปฏิรูปอัตราแลกเปลี่ยนของ ธปท. มีขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าการเคลื่อนไหวของเงินบาทเป็นไปอย่างเป็นระเบียบ เราต้องการให้เงินบาทเคลื่อนไหวตามกลไกตลาดตามปัจจัยพื้นฐาน เราอาจพิจารณาเข้าแทรกแซงสกุลเงินก็ต่อเมื่อมีการเคลื่อนไหวที่มากเกินไปและขัดกับปัจจัยพื้นฐานของมัน วิธีที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจคือการเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่จะเกิดขึ้น” อลิศรา กล่าวในตอนท้าย
ขอบคุณเรื่องจาก bnnbloomberg
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี