วันที่ 17 สิงหาคม 2566 นสพ.Nikkei Asian Review ของญี่ปุ่น เสนอรายงานพิเศษ Hun Manet, the West Point graduate set to lead Cambodia ว่าด้วย ฮุน มาเนต (Hun Manet) บุตรชายและทายาททางการเมืองของ ฮุน เซน (Hun Sen) นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งหลังจากการเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2566 พรรค CPP ของ ฮุน เซน ชนะการเลือกตั้งแบบไร้คู่แข่ง ฮุน เซน ที่ครองอำนาจมานานเกือบ 39 ปี ได้ประกาศว่าจะวางมือโดยส่งไม้ต่อให้กับ ฮุน มาเนต ที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกฯ อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 22 ส.ค. 2566
แต่สิ่งที่ต่างกันคือเส้นทางชีวิตของทั้ง 2 คน โดย ฮุน เซน เคยเป็นทหารในกองทัพเขมรแดง กลุ่มการเมืองที่เคยครองอำนาจในกัมพูชาและทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ประชากรไปกว่า 2 ล้านคน กระทั่งในปี 2520 เขาได้หนีเข้าไปในเวียดนามอันเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนจะกลับมายังกัมพูชาอีกครั้งพร้อมกับกองทัพเวียดนามที่เข้าไปขับไล่กลุ่มเขมรแดง กระทั่งในปี 2528 ฮุน เซน จึงได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชา จากนั้นในปี 2534 มีการลงนามสนธิสัญญาปารีส เพื่อเริ่มกระบวนการสันติภาพและยุติสงครามกลางเมืองในกัมพูชา
ในขณะที่ ฮุน มาเนต หลังเข้าเป็นทหารในกองทัพกัมพูชาก็ถูกส่งไปเรียนด้านการทหารที่โรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ สถาบันการทหารชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ทำให้เขาเป็นชาวกัมพูชาคนแรกที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันดังกล่าว นอกจากนั้น ฮุน มาเนต ยังสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ โดยจบปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สหรัฐฯ และปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยบริสตอล ประเทศอังกฤษ และด้วยความที่ฮุน เซน ผู้เป็นบิดาให้การสนับสนุน ก็ทำให้เขาได้รับการเลื่อนยศทางทหารอย่างรวดเร็ว
ฮิโรชิ ซูซูกิ (Hiroshi Suzuk) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันวิจัยธุรกิจกัมพูชา ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับกัมพูชาสำหรับนักธุรกิจญี่ปุ่น กล่าวว่า ฮุน มาเนต ได้รับการฝึกฝนให้เป็นผู้นำโดยบิดาผู้ทรงอิทธิพลของเขา เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในคำปราศรัยของฮุน เซน เมื่อ 5-6 ปีก่อนสร้างความประทับใจ เมื่อรับประทานอาหารที่โรงแรมอิมพีเรียลระหว่างการเดินทางไปญี่ปุ่นกับครอบครัว
“ฮุน เซน เล่าว่า เขาบอกลูกชายที่หิวกระหายมากว่า จงจำข้อนี้ไว้ให้ดี อาหารหนึ่งมื้อที่นี่ (โรงแรมในญี่ปุ่น) แพงกว่าค่าจ้างรายเดือนของคนงานชาวกัมพูชา สุนทรพจน์นี้แสดงให้เห็นว่า ฮุน เซน รู้สึกภูมิใจที่ได้สอนลูกชายว่าผู้ปกครองควรปฏิบัติตนอย่างไรตั้งแต่อายุยังน้อย” ซูซูกิ กล่าว
ในปี 2546 ซึ่งขณะนั้น ฮุน มาเนต อายุ 26 ปี กล่าวกับผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) อย่าง ฮาริช (Harish) และ จูลี เมห์ตา (Julie Mehta) ว่า ผู้คนมักคิดว่าการเป็นลูกชายของฮุน เซน ทำให้ไม่ต้องทำงานอะไร ซึ่งตนก็ต้องการพิสูจน์ว่าคนเหล่านั้นคิดผิด ขณะที่ มาซาฮารุ โคโนะ (Masaharu Kono) อดีตหัวหน้ากองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น เล่าว่า เคยมีโอกาสได้ร่วมรับประทานอาหารค่ำกับ ฮุน มาเนต เมื่อครั้งที่เขามาเยือนญี่ปุ่นในเดือน เม.ย. 2561
โดยเวลานั้น ฮุน มาเนต ดำรงตำแหน่งรองประธานเสนาธิการร่วมกองทัพกัมพูชา และได้รับคำแนะนำจาก ฮุน เซน ว่าให้มาเรียนรู้กับ มาซาฮารุ โคโนะ ซึ่งเป็นผู้ที่เขียนหนังสือเล่าบทบาทของญี่ปุ่นในกระบวนการสันติภาพของกัมพูชา เนื่องจากบันทึกประวัติศาสตร์ช่วงเวลานั้นมีไม่มากนักในกัมพูชา ซึ่ง โคโนะ เล่าว่า ในการบรรยายสรุปเป็นเวลา 3 ชั่วโมง ฮุน มาเนต ได้ถามตนว่า หนังสือที่ตนเขียนนั้นสามารถทำให้เป็นภาษาเขมรหรือภาษาอังกฤษได้หรือไม่ อีกทั้งยังดูตั้งใจฟังมาก ทำให้ตนมองว่า ฮุน มาเนต มีความเป็นข้าราชการพลเรือนมากกว่าทหาร
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ในปี 2565 ที่กัมพูชาได้รับมอบหมายให้เป็นประธานอาเซียน ฮุนเ เซน พยายามเข้าไปมีบทบาทกับเมียนมา ซึ่งถูกขัดขวางไม่ให้เข้าร่วมการประชุมอาเซียนหลังกองทัพทำรัฐประหารในปี 2564 โดยในเดือน ม.ค. 2565 ฮุน เซน ได้เดินทางไปเยือนเมียนมา และกล่าวว่าอาเซียนควรกลับมาร่วมกันทำงานทั้ง 10 ชาติ ไม่ใช่ 9 ชาติ ซึงในครั้งนั้น ฮุน มาเนต ได้ติดตามบิดาไปด้วย โดยคาดว่าเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการทูต แต่การเยือนฝ่ายเดียวโดยไม่ได้รับการอนุมัติจากประเทศสมาชิกอื่นๆ ถูกวิพากษ์วิจารณ์และไม่เกิดผล
หลังการเยือนครั้งนั้น ฮุน มาเนต ได้กล่าวกับนักลงทุนชาวญี่ปุ่น ว่า ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำอะไรในฐานะประธานอาเซียนก็หนีไม่พ้นต้องถูกวิจารณ์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในกรณีนั้น การทำอะไรสักอย่างแล้วถูกวิจารณ์เป็นสิ่งที่ดีกว่า โดยสิ่งสำคัญคือต้องสื่อว่าประเทศที่เป็นประธานกำลังเปิดประตูให้เมียนมา นอกจากนั้น หลายคนที่เคยพบกับฮุน มาเนต ต่างเล่าว่า ฮุน มาเนต ดูเป็นคนมีความสามารถสูงแต่ก็สุภาพและรอบคอบ ขณะที่บางคนนำไปเปรียบเทียบกับ ฮุน เซน ที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว
ในปี 2560 ฮุน เซน เคยกล่าวว่า ตนจะอยู่ในอำนาจไปอีก 10 ปี ดังนั้นการวางมือในครั้งนี้ซึ่งเร็วกว่ากำหนดจึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ แต่เขาก็ได้ให้เหตุผลว่า การถ่ายโอนอำนาจให้กับผู้นำรุ่นถัดไปในเวลาที่ตนยังพร้อมทำได้ จะดีกว่าตอนที่ตนนั้นแก่กว่านี้หรือเสียชีวิตไปแล้ว แม้ตนจะเป็นนายกฯ ได้อีก 5-10 ปี แต่การรอให้ตนอายุมากกว่านี้หรือตายไปนั่นคงไม่ใช่เรื่องดี ซึ่งตนเป็นนายกฯ ครั้งแรกด้วยอายุ 32 ปี แต่ฮุน มาเนต จะเริ่มตำแหน่งนี้ในวัย 46 ปี
นอกจากความเหมาะสมเรื่องช่วงเวลาทางการเมืองแล้ว เศรษฐกิจก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งต่อการตัดสินใจของฮุน เซน แหล่งข่าวที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลกัมพูชากล่าวก่อนที่จะมีการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ว่า การสืบทอดตำแหน่งจะสายเกินไปหากการลงทุนจากต่างชาติไหลไปลงที่เวียดนามและอินโดนีเซียแล้ว ซึ่งการแข่งขันอย่างรุนแรงระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ทำให้บรรดานักลงทุนข้ามชาติมองหาฐานการผลิตอื่นนอกจากจีน แน่นอนว่าพื้นที่ใกล้เคียงอย่างอาเซียนถือเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้มากที่สุด
สถานการณ์ดังกล่าวกลายเป็นโอกาสดีสำหรับหลายชาติในอาเซียน อาทิ มาเลเซียและไทย ซึ่งเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมของภูมิภาค ส่วนอินโดนีเซียและเวียดนามก็มีจุดเด่นที่จำนวนประชากรหนาแน่น แม้กระทั่งกัมพูชาที่มีขนาดเล็กกว่าและการพัฒนายังด้อยกว่า ก็ยังมีโอกาสที่จะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในสาขาที่มีมูลค่าเพิ่มสูงซึ่งสามารถทดแทนอุตสาหกรรมหลักของประเทศอย่างสิ่งทอได้
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลกัมพูชา ให้ความเห็นว่า กัมพูชาตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างไทยกับเวียดนาม จึงหวังว่าผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ เครื่องใช้ในบ้าน สมาร์ทโฟน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จะเข้ามา แม้งานในกัมพูชาจะเป็นเพียงการจัดการบางส่วนของกระบวนการผลิตก็ตาม ขณะที่ ฮุน เซน กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ว่า หากไม่พึ่งพาจีนแล้วจะพึ่งพาใคร ซึ่งเป็นการสะท้อนมุมมองต่อจีนของเขา
รายงานของสื่อญีปุ่นยังกล่าวอีกว่า มีโอกาสเพียงเล็กน้อยที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และรัฐบาลกัมพูชาที่นำโดยฮุน เซนจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องประชาธิปไตย แต่การทำให้ฮุน มาเนต ซึ่งมีสายสัมพันธ์ส่วนตัวในสหรัฐฯและยุโรป เผชิญ เป็นตัวแทนของรัฐบาลกัมพูชา อาจสร้างโอกาสสำหรับความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นได้ นั่นเป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งสำหรับการถ่ายโอนอำนวจในช่วงต้น ทุกสายตาจับจ้องว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ซึ่งต้องเข้ารับการอบรมเนื่องจากจะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของบิดา จะนำทางกัมพูชาผ่านสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนได้อย่างไร
ฮุน มาเนต มีกำหนดเปิดตัวทางการทูตในการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกในต้นเดือนหน้าที่อินโดนีเซีย และยังมีกำหนดการทางการทูตอีกมากมายหลังจากนั้น รวมถึงการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในปลายเดือน ก.ย. 2566 ที่เมืองนิวยอร์ก และการประชุมสุดยอดพิเศษในเดือน ธ.ค. 2566 ที่กรุงโตเกียว เพื่อรำลึกถึง ปีที่ 50 แห่งมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นและอาเซียน ซึ่งท่าทีของเขาในการประชุมเหล่านี้ก็น่าจะเป็นตัวบ่งชี้ว่า ฮุน มาเนต จะเป็นผู้นำประเทศอย่างไร
ขอบคุณเรื่องจาก
https://asia.nikkei.com/Spotlight/Hun-Sen-s-Cambodia/Hun-Manet-the-West-Point-graduate-set-to-lead-Cambodia
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี