16 ก.ค. 2568 The Diplomat สำนักข่าวออนไลน์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเน้นนำเสนอเนื้อหาด้านการเมือง สังคมและวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เผยแพร่บทความ Moving a Mafia State: Why Thailand’s Punch Lands Harder Than America’s เขียนโดย เจค็อบ ซิมส์ (Jacob Sims) คอลัมน์นิสต์ของ The Diplomat ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมข้ามชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และเป็นนักวิจัยรับเชิญที่ศูนย์เอเชียของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา เนื้อหาดังนี้
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งไทยและสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มแรงกดดันต่อกัมพูชา โดยต่างฝ่ายต่างพยายามโน้มน้าวพฤติกรรมของกัมพูชาให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ภายในประเทศของตน แต่ความแตกต่างระหว่างแนวทางของทั้งสองประเทศ – และประสิทธิผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น – นั้นชัดเจน สหรัฐฯ เลือกใช้มาตรการที่รุนแรงและตรงไปตรงมา เช่น การขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้ากัมพูชาทั้งหมด 36% ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อลงโทษการกีดกันทางการค้าและการปฏิบัติที่ “ไม่เป็นธรรม” ของกัมพูชา
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็ใช้มาตรการที่รุนแรง (ซึ่งมีรูปแบบเฉพาะ) ด้วยการบังคับให้รัฐบาลกัมพูชาต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ อันเนื่องมาจากข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาและผลกระทบที่ตามมา โดยได้ปิดจุดผ่านแดน ตัดสาธารณูปโภค ปิดกั้นการเข้าถึงแรงงานของกัมพูชา และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้ออกหมายจับสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ผู้ทรงอิทธิพลของพรรครัฐบาล และยึดทรัพย์สินในไทยที่กรุงเทพฯ เชื่อมโยงกับอาชญากรรมฉ้อโกงทางโทรคมนาคม (หลอกลวงออนไลน์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์)
ขอบเขตของข้อโต้แย้งนี้ไม่ได้ครอบคลุมถึงความชอบธรรมของข้อร้องเรียนของทั้งสหรัฐอเมริกาและไทยที่มีต่อกัมพูชา ประเด็นของผมเน้นไปที่วิธีการมากกว่า ฝ่ายหนึ่งได้แสดงให้เห็นถึงความตระหนักรู้อย่างเฉียบแหลมเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมืองของกัมพูชา ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ทำเช่นนั้น ผลลัพธ์ก็น่าจะตามมา
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พรรค CPP ได้พัฒนาจากเพียงแค่การทุจริตและปราบปรามฝ่ายตรงข้าม กลายเป็นรัฐมาเฟียที่สร้างความเสียหายไปทั่วโลกอย่างมีแบบแผน ซึ่งอาจเป็นรัฐที่ทนทานที่สุดในโลก หากมองข้ามผลประโยชน์อื่นๆ ที่ฉวยโอกาสนี้ไป ชนชั้นนำในพรรค CPP เป็นเจ้าของ ปกป้อง และแสวงหาผลประโยชน์จากเศรษฐกิจอาชญากรรมไซเบอร์ในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งสร้างรายได้ประมาณ 12,000-19,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มากกว่ามูลค่าของอุตสาหกรรมที่ถูกกฎหมาย (รวมถึงอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มที่มีอัตรากำไรต่ำและมีความเสี่ยงจากภาษีศุลกากร) และเทียบเท่ากับประมาณครึ่งหนึ่งของ GDP อย่างเป็นทางการ
“แหล่งรวมการหลอกลวงกระจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธคอยดูแล ล้อมรอบด้วยลวดหนาม และมักถูกปกปิดด้วยความเชื่อมโยงกับชนชั้นนำทางการเมืองที่ฉ้อฉล นี่ไม่ใช่อาชญากรรมที่ฉวยโอกาสจากช่องว่างทางการกำกับดูแล แต่มันคือการปกครองโดยอาชญากร”
ประเทศไทยได้เห็นความจริงข้อนี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ปอยเปต เมืองชายแดนชื่อดังที่การฉ้อโกงและกบ่อนกาสิโนครอบงำ หลายปีที่ผ่านมา ไทยได้ยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (หลับตาข้างหนึ่ง) โดยได้รับประโยชน์จากการไหลเวียนข้ามพรมแดนของกระแสเงินทุน แรงงานและสินค้า แต่ความขัดแย้งระหว่างกันเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งรวมถึงการสู้รบที่นองเลือดบริเวณชายแดน และการแทรกแซงการเมืองไทยที่ทวีความรุนแรงขึ้นของ ฮุน เซน (Hun Seb) อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ดูเหมือนเป็นการ “ล้ำเส้น (crossed a line)” ที่ฝ่ายไทยเกินจะยอมรับได้
ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ตอบโต้อย่างหนักหน่วง เริ่มจากการแสดงท่าทีชาตินิยมเกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดน และจากนั้นด้วยการดำเนินการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหลายครั้ง โดยมุ่งเป้าไปที่จุดอ่อนที่แท้จริงของรัฐบาลกัมพูชา เหตุการณ์ถึงจุดพีคสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อทางการไทยได้เข้าตรวจค้นทรัพย์สิน 19 แห่ง ยึดรถยนต์หรู อายัดทรัพย์สิน และออกหมายจับผู้มีอิทธิพลรายสำคัญในกัมพูชา
ก๊ก อาน (Kok An) ผู้ถูกขนานนามว่า “เจ้าพ่อปอยเปต” เป็น สว. สังกัดพรรค CPP ผู้ใกล้ชิดกับตระกูลฮุน และเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของกัมพูชา เขายังเป็นหนึ่งในชนชั้นนำทางการเมือง 28 คน ที่ผู้ตอบแบบสอบถามในผลการศึกษาของผมที่เผยแพร่ในเดือน พ.ค. 2568 ระบุว่าสมควรต้องรับผิดชอบระหว่างประเทศจากบทบาทของพวกเขาในอุตสาหกรรมการหลอกลวง (รายชื่อดังกล่าวอยู่ในภาคผนวก A ของรายงาน)
แม้ว่าจะเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่จะเห็นผู้กระทำความผิดอีก 27 คนที่เหลือได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกัน แต่ยังคงต้องติดตามดูว่าประเทศไทยจะเต็มใจดำเนินการเช่นนี้มากน้อยเพียงใด อันที่จริง ชนชั้นนำในประเทศไทยเองก็พัวพันกับกัมพูชา ดังนั้นมีดแห่งความรับผิดชอบนี้จึงน่าจะบาดลึกลงไปเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีข้อจำกัดใดๆ กลยุทธ์ของไทยก็แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่สหรัฐฯ ดูเหมือนจะไม่เต็มใจที่จะยอมรับ นั่นคือ ระบอบการปกครองของกัมพูชาจะไม่ถูกขับเคลื่อนด้วยวิธีการทางการทูตแบบดั้งเดิมหรือแรงกดดันต่อเศรษฐกิจในระบบเพียงอย่างเดียว
แนวทางการเจรจาภาษีศุลกากรของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เช่นเดียวกับการทูตสหรัฐฯ มากมายก่อนหน้านี้ ล้มเหลวในการแยกแยะระหว่างภาพลักษณ์ภายนอกและกลไกที่แท้จริงของรัฐภาคี การส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูป ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จ้างงานแรงงานหลายแสนคน แต่เป็นเพียงส่วนน้อยที่ส่งผลต่อกลยุทธ์การอยู่รอดของชนชั้นนำ
“แท้จริงแล้ว ภาษีศุลกากรมีความเสี่ยงที่จะทำลายอุตสาหกรรมที่ถูกกฎหมายแห่งสุดท้ายของประเทศ และส่งผลกระทบต่อชาวกัมพูชาทั่วไป ผลักดันให้ระบอบการปกครองจมดิ่งลงสู่ระบบนิเวศอาชญากรรมของตนเอง และยิ่งลึกเข้าไปในวงโคจรของจีน การหยุดชะงักของแรงงานที่อาจเกิดขึ้นจากภาษีศุลกากรนี้ทำให้กัมพูชารู้สึกกังวลอย่างแน่นอน แต่พรรค CPP เคยปราบปรามคนงานเสื้อผ้าสำเร็จรูปมาก่อน และด้วยอำนาจการบีบบังคับทั้งหมดในประเทศที่รวมศูนย์อยู่ในมือของพรรคฯ ก็จะยังคงทำเช่นนั้นอีก ความแตกแยกระหว่างรัฐและสังคมมีอยู่อย่างกว้างขวางในกัมพูชา และเสียงของประชาชนแทบไม่มีอิทธิพลใดๆ”
เศรษฐกิจฉ้อฉลนั้นสิ้นเปลืองน้อยกว่ามากสำหรับชนชั้นนำพรรค CPP ซึ่งได้ครอบครองสถาบันทางการของกัมพูชาอย่างเต็มตัว ดังนั้น จึงยากที่จะจินตนาการว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคจะต่อต้านการเจรจาการค้าได้มากเพียงใด หากถูกกดดันอย่างมีนัยสำคัญจากแหล่งรายได้ที่พิสูจน์ภาษีศุลกากร (หลอกลวงชาวอเมริกันผ่านแรงงานทาส)
แม้จะมีท่าทีแบบผิวเผิน (Paper-thin posturing) แต่ระบอบการปกครองนี้ก็เป็นระบอบการปกครองที่เป็นปรปักษ์และก่ออาชญากรรม และเราจำเป็นต้องก้าวข้ามความไม่เชื่อที่ยืดเยื้อเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของระบอบการปกครองนี้ เพียงเพราะนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต (Hun Manet) กำลังโฆษณา "คณะทำงานระดับสูงเพื่อปราบปรามการหลอกลวง" ชุดล่าสุดของเขา (ซึ่งเป็นกลอุบายที่ 3 ที่ประกาศใช้เมื่อปีที่แล้วเพียงปีเดียว) สถานทูตจึงไม่สามารถ "ปกป้องพลเมืองอเมริกัน" หรือ "เอาผิดผู้กระทำความผิด" ผ่านทาง "ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของกัมพูชา" ได้อีกต่อไป
ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าสหรัฐฯ ควรละทิ้งการมีส่วนร่วมโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการบอกเป็นนัยว่า หากสหรัฐฯ ต้องการความก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า สิทธิมนุษยชน หรือความมั่นคงในภูมิภาค สหรัฐฯ จะต้องเริ่มแสดงอิทธิพลผ่านการทูตที่เป็นปฏิปักษ์ (แทนที่จะใช้การเจรจาเพียงอย่างเดียว) ซึ่งเป็นจุดที่รัฐบาลอ่อนแอที่สุด นั่นคือ กิจการอาชญากรรมหลายรูปแบบ
สิ่งนี้บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์จากเดิมที่ยึดติดกับ “สภาพเดิม” และ “ความร่วมมือ” ซึ่งหมายถึงการแสวงหาความรับผิดชอบข้ามชาติอย่างจริงจังต่อชนชั้นนำและเครือข่ายของพวกเขาที่เชื่อมโยงกับการหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นการยึดทรัพย์สินแบบเจาะจงเป้าหมาย การรณรงค์เปิดเผยต่อสาธารณะ และการสืบสวนข้ามชาติเกี่ยวกับการฟอกเงินผ่านกาสิโนและอสังหาริมทรัพย์ นี่หมายถึงการเสริมสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อทำลายเครือข่ายเหล่านี้ร่วมกัน แทนที่จะทำลายทีละส่วน
“ที่สำคัญที่สุดคือ การละทิ้งภาพลวงตาที่ว่าระบอบการปกครองกัมพูชาสามารถถูกโน้มน้าวได้โดยการปฏิบัติต่อระบอบการปกครองเสมือนเป็นหุ้นส่วนทางการค้าหรือการทูตตามปกติ ซึ่งไม่ใช่เลย พรรค CPP เป็นองค์กรอาชญากรรมที่ซับซ้อนและถุกห่อหุ้มด้วยธงชาติ และพรรคได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะปกป้องเศรษฐกิจที่ผิดกฎหมายของตนไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม เพราะเศรษฐกิจเหล่านั้นคือสิ่งที่จะปกป้องระบอบการปกครองนั้น”
หากคุณต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการยุติข้อพิพาทชายแดน การปรับสมดุลการขาดดุลการค้า การยึดมั่นในพันธสัญญาสากลขั้นพื้นฐานต่อสิทธิ หรือวัตถุประสงค์อื่นใด คุณต้องทำในจุดที่เจ็บปวดที่สุด!!!
-/-/-/-/-/-/-//-/-/-/-/-/-/-/-/-//-/-
ขอบคุณเรื่องจาก
https://thediplomat.com/2025/07/moving-a-mafia-state-why-thailands-punch-lands-harder-than-americas/
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/inter/891245 นครแห่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์! สื่อนอกตีข่าวงานวิจัยชี้‘กัมพูชา’แหล่งใหญ่ฐานปฏิบัติการหลอกลวง
https://www.naewna.com/local/899115 ล้างบาง‘ก๊ก อาน’! ตำรวจไซเบอร์ออกหมายจับ‘ลูกชาย-ลูกสาว’ ค้น 7 จุดขยายผลแก๊งคอลฯ
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี