วันพฤหัสบดี ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2568
ย้อนไทม์ไลน์! ประท้วงรุนแรงครั้งใหญ่ของเนปาล ชนวนแค้นของวัยรุ่นเจนZลุกฮือเผาทั้งเมือง

ย้อนไทม์ไลน์! ประท้วงรุนแรงครั้งใหญ่ของเนปาล ชนวนแค้นของวัยรุ่นเจนZลุกฮือเผาทั้งเมือง

วันพฤหัสบดี ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2568, 11.29 น.

11 กันยายน 2568  ทั่วโลกจับตามองทันทีเมื่อเปลวเพลิงโหมลุกกลางกรุงกาฐมาณฑุ ของเนปาล โดยประชาชนหลายหมื่นคน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เรียกว่า 'เจนซี' (GenZ) ออกมารวมตัวชุมนุมหน้ารัฐสภาหลังจากที่เมื่อวันที่ 4 กันยายน รัฐบาลได้ออกมาประกาศ 'แบน' แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทั้ง เฟซบุ๊ก , ยูทูบ , อินสตาแกรม และเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) เนื่องจากไม่ได้ลงทะเบียนกับกระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศของเนปาลให้ทันกำหนดเวลา

หลังจากที่ทางรัฐบาลสั่ง 'แบน' ใช้โซเชียลฯ ปลุกความไม่พอใจของกลุ่ม GenZ เริ่มต้นการออกมาประท้วงในวันที่ 8 กันยายน ในเมืองหลวงอย่างกรุงกาฐมาณฑุ และเมืองอื่นๆ บางแห่งในเนปาล เรื่องราวลุกลามเมื่อผู้ประท้วงบางส่วนได้ปีนกำแพงเข้าสู่พื้นที่หวงห้าม ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตา ,รถฉีดน้ำ ,กระบอง และยิงกระสุนยางสลายการชุมนุม ในเหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 ศพ ในจำนวนนี้ 17 รายในกรุงกาฐมาณฑุ และอีก 2 รายในเมืองอีตาฮารี ทางตะวันออกของประเทศ


ต่อมาในวันเดียวกันนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารของเนปาล ปริถวี สุพบา กล่าวแถลงว่า ตำรวจจำเป็นต้องใช้กำลัง ซึ่งรวมถึงการใช้ปืนฉีดน้ำ กระบอง และกระสุนยาง โดยผู้ประท้วงบางคนสามารถฝ่าแนวเขตอาคารรัฐสภาในกรุงกาฐมาณฑุได้ ทำให้ตำรวจต้องประกาศเคอร์ฟิวรอบอาคารสำคัญของรัฐบาลและเพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัย

ทางรัฐบาลเนปาล ออกมาเปิดเผยว่า มาตรการแบนโซเชียลมีเดียนั้นมีความจำเป็นเพื่อควบคุม ข่าวปลอม คำพูดสร้างความเกลียดชัง และการฉ้อโกงทางออนไลน์ แต่ชาวเนปาลส่วนใหญ่กลับเห็นว่า เป็นการปิดกั้นเสรีภาพและพยายามปิดปากประชาชน และ 'นายราเมศ เลขัก'  รัฐมนตรีมหาดไทย ได้ตัดสินใจลาออกในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อแสดงความรับผิดชอบทางศีลธรรมต่อเหตุสังเวยชีวิตผู้ประท้วง

เรียกได้ว่าทนกระแสต่อต้านไม่ไหว ทำให้ในคืนวันที่ 8 กันยายน 'นายเค.พี ชาร์มา โอลี' นายกรัฐมนตรีของเนปาล ประกาศยกเลิกคำสั่งห้ามเกี่ยวกับโซเชียลมีเดียแต่สถานการณ์ก็ยังไม่คลี่คลายลง 

จากนั้นในวันที่ 9 กันยายน ผู้ประท้วงได้จุดไฟเผาอาคารรัฐสภาในกรุงกาฐมาณฑุ อาคารรัฐบาล และบ้านเรือนของผู้มีตำแหน่งทางการเมืองถูกโจมตีทำลายทั่วประเทศ ตามมาด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ 'นายเค.พี ชาร์มา โอลี' เพื่อหวังสงบความรุนแรง หลังการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลลุกลามบานปลายและยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ท่ามกลางข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตและการปกครองแบบเผด็จการ 

สถานการณ์บานปลายขึ้นเรื่อยๆ ผู้ประท้วงบุกบ้านรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง , บ้านรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ไปจนถึงบ้านของอดีตนายกรัฐมนตรี 'จาลา เนธ คานัล' โดยทำลายข้าวของและเผา 

อีกทั้งกลุ่มผู้ประท้วงยังได้จับตัว 'นางราชยลักษมี จิตราการ' ภรรยาของคานัล ขังไว้ในบ้านที่เมืองดัลลูพร้อมทั้งจุดไฟเผา เป็นเหตุให้เธอเสียชีวิตลงอย่างอนาถ ยังมีรายงานผู้เสียชีวิตฝั่งผู้ประท้วงเพิ่มอีกอย่างน้อย 3 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตรวมเป็นอย่างน้อย 22 ราย

และช่วงเย็นวันที่ 9 กันยายน พลเอก อโศก ราช ซิกเดล ผู้บัญชาการทหารบกเนปาล ได้ออกแถลงการณ์กล่าวหาผู้ประท้วงว่า ฉวยโอกาสจากวิกฤตการณ์ปัจจุบันด้วยการทำลาย ปล้นสะดม และเผาทำลายทรัพย์สินสาธารณะและส่วนบุคคล เขาบอกว่า หากความไม่สงบยังคงดำเนินต่อไป "หน่วยงานความมั่นคงทั้งหมด รวมถึงกองทัพเนปาล จะเข้าควบคุมสถานการณ์"

ต่อมาในวันที่ 10 กันยายน สถานการณ์รุนแรงสุดๆ  เมื่อ 'ม็อบเจนซี' (Gen Z)ได้ก่อการจลาจลอย่างหนัก ผู้ประท้วงได้จุดไฟเผายางรถยนต์บนถนนวงแหวนรอบกรุงกาฐมาณฑุ โดยไม่สนใจการประกาศเคอร์ฟิวของรัฐบาล 

บุกเข้าไปที่สิงห์ ดูร์บาร์ (Singha Durbar) พระราชวังเดิมที่ตั้งอยู่ในกรุงกาฐมาณฑุ ของเนปาล ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการหลายแห่งของเนปาล รวมถึงรัฐสภาและกระทรวงต่างๆ ผู้ประท้วงได้ บุกฝ่ากำแพงเข้าสู่รัฐสภาเนปาล กำแพงภายนอก และกระจกหน้าต่างถูกพ่นสเปรย์กราฟฟิตี รวมถึงข้อความต่อต้านการทุจริตและถูกทุบทำลาย รวมถึงการ 'เผา' อาคารรัฐสภา 

อีกทั้งกลุ่มม็อบเจนซี (Gen Z) ยังได้วิ่งไล่เผาบ้านเรือน อาคาร ร้านค้า ไปจนถึงโรงแรมฮิลตัน กาฐมาณฑุ (Hilton Kathmandu hotel) ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว กลางเมืองกาฐมาณฑุ ที่เพิ่งเปิดให้บริการได้เพียงปีเดียว พังเสียหายทั้งอาคาร โดยทางกลุ่มผู้ประท้วงได้อ้างว่า โรงแรมฮิลตันแห่งนี้ เป็นของลูกชายนักการเมืองที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าทุจริตคดโกงประเทศ 

ก่อนที่ในวันเดียวกัน (10 ก.ย.) 'กองทัพเนปาล' ส่งทหารออกมาออกลาดตระเวนฟื้นความสงบเรียบร้อยทั่วเมืองหลวงกาฐมาณฑุ  และบังคับใช้มาตรการเคอร์ฟิวห้ามออกนอกบ้านต่อไปอีก บรรยากาศในกาฐมาณฑุเริ่มสงบลง ภายหลังทหารออกลาดตระเวนตามพื้นที่สำคัญ รวมทั้งแจ้งเตือนประชาชนว่า ยังคงบังคับใช้มาตรการเคอร์ฟิวจนถึงเช้าวันพฤหัสฯ (11 ก.ย.)

ซึ่งการประท้วงครั้งนี้ถูกปลุกเร้าด้วยโซเชียลมีเดียและนำโดยคนหนุ่มสาวทั่วประเทศ หรือที่เรียกว่ากลุ่มวัยรุ่น (GenZ) ซึ่งแตกต่างจากการประท้วงครั้งก่อนๆ ในเนปาล โดยข้อเรียกร้องหลัก 2 ข้อของพวกเขา ได้แก่ รัฐบาลยกเลิกการห้ามโซเชียลมีเดีย ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการไปแล้ว และเจ้าหน้าที่ต้องยุติ การทุจริต 

โดยการ 'ทุจริต' ในประเทศปลุกกระแสการติดแฮชแท็ก #NepoBaby และ #NepoKids ซึ่งมีการเผยให้เห็นการใช้ชีวิตหรูหราของเหล่านักการเมืองเนปาล รวมไปถึงชีวิตที่หรูหราของบรรดาลูก-หลานของนักการเมืองเหล่านี้ ผู้ประท้วงบอกว่า บุคคลเหล่านี้ประสบความสำเร็จและหรูหราโดยปราศจากคุณธรรม ใช้ชีวิตด้วยเงินของรัฐ ขณะที่ชาวเนปาลทั่วไปต้องดิ้นรนต่อสู้เป็นอย่างมาก

กระแส #NepoBaby และ #NepoKids ได้เปรียบเทียบการใช้ชีวิตที่ฟุ่มเฟือย หรูหรา ของครอบครัวนักการเมืองเนปาล ทั้งเสื้อผ้าแบรนด์หรู นาฬิกาหรู บินเจ็ทไปท่องเที่ยว รถยนต์หรู กับความเป็นจริงอันโหดร้ายที่คนหนุ่มสาวที่จะต้องเผชิญกับการว่างงาน ไร้การศึกษา การถูกบังคับอพยพย้ายถิ่นฐาน แฮชแท็ก #NepoBaby และ #NepoKids นี้จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความคับข้องใจเกี่ยวโยงกับความเหลื่อมล้ำ ขณะที่ผู้ประท้วงเปรียบเทียบชีวิตของชนชั้นสูงกับชีวิตของพลเมืองทั่วไป

ซึ่งจนถึงขณะนี้สถานการณ์กลางกรุงกาฐมาณฑุ ก็ยังคงตึงเครียด กองทัพยังคงส่งกำลังทหารลาดตระเวนตามท้องถนนเพื่อควบคุมสถานการณ์ มีรายงานว่าตลอดในช่วง 2 วันแห่งความรุนแรง มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 30 ศพ และบาดเจ็บอีกนับ 1,000 คน อาคารรัฐสภา โรงแรม บ้านเรือนปชช.พังเสียหายทั้งประเทศ 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top