18 ตุลาคม 2568 สำนักข่าวเฟรชนิวส์ (Fresh News) ของกัมพูชา รายงานว่า กลุ่มคนไทยที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพไทยและเจ้าหน้าที่จังหวัดสระแก้ว เริ่มการเปิดเครื่องขยายเสียงรบกวนชาวบ้านกัมพูชาอีกครั้งในหมู่บ้านจกเจย ซึ่งเป็นพื้นที่เดียวกับที่ไทยเคยรุกล้ำดินแดนของกัมพูชา ยึดครองพื้นที่เพาะปลูก นาข้าว และบ้านเรือนของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว โดยไทยเปิดเครื่องขยายเสียงตั้งแต่ 17.30 น. จนถึง 18.18 น. ซึ่งการโจมตีด้วยเสียงครั้งนี้ กลุ่มคนไทยใช้ยานพาหนะติดตั้งลำโพงกำลังสูง 4 คัน โดยคันหนึ่งยกสูงประมาณ 30 เมตร เพื่อขยายเสียงข้ามพรมแดน ส่วนอีก 3 คันติดตั้งไว้ที่ระดับพื้นดิน

สื่อกัมพูชารายงานว่า ลำโพงเหล่านี้ปล่อยคลื่นเสียงที่มีระดับเสียงสูงถึงประมาณ 500 เดซิเบล ซึ่งเป็นระดับเสียงสูงสุดที่สามารถได้ยินได้ไกลถึง 30 กิโลเมตร โดยทั่วไป หูของมนุษย์สามารถทนต่อระดับเสียงได้อย่างปลอดภัยถึงประมาณ 100 เดซิเบล การได้รับคลื่นเสียงที่สูงถึง 500 เดซิเบลอาจทำให้เกิดแก้วหูแตก ปวดศีรษะอย่างรุนแรง วิงเวียนศีรษะ และคลื่นไส้ การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และถือเป็นการทรมานทางจิตใจรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน

ทั้งนี้หมู่บ้านจกเจยและเปรยจันเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านมากกว่า 3,000 คน ซึ่งรวมถึงผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ และเด็กเล็ก คลื่นเสียงอันทรงพลังดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจต่อชาวบ้าน

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชาออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ OHCHR เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการกลั่นแกล้ง ข่มขู่และคุกคามทางจิตใจที่เกิดขึ้นบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ขอให้ OHCHR ช่วยหยุดยั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงเหล่านี้

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชายังบอกด้วยว่า ไทยกำลังใช้กฏที่ป่าเถื่อนมากขึ้นเรื่อยๆ หาก OHCHR ยังไม่เร่งดำเนินการในเรื่องนี้อาจทำให้ประชาคมระหว่างประเทศอย่าง OHCHR สูญเสียความน่าเชื่อถือทางกฎหมายและกระทบต่อกลไกระหว่างประเทศได้ กัมพูชาบอกว่า การเปิดเครื่องขยายเสียงนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนไทยบริเวณพรมแดน เนื่องจากลำโพงหันออกไปยังดินแดนกัมพูชา ขณะที่พื้นที่อยู่อาศัยของคนไทยอยู่ห่างไกลจากจุดที่เปิดเครื่องขยายเสียง