1 พฤศจิกายน 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากพายุเฮอร์ริเคน “เมลิสซา” (Melissa) เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 49 ราย ในภูมิภาคแคริบเบียน โดยใน จาเมกา มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 ราย และใน เฮติ เสียชีวิตอีก 30 ราย ขณะที่หลายพื้นที่ยังถูกตัดขาดจากโลกภายนอก

ดานา มอร์ริส ดิกสัน รัฐมนตรีสารสนเทศของจาเมกา เปิดเผยว่า มีหลายชุมชนที่ถูกตัดขาดจากความช่วยเหลือ และบางพื้นที่แทบถูกทำลายจนราบเรียบ โดยเฉพาะทางตะวันตกของประเทศซึ่งได้รับผลกระทบหนักที่สุด ไฟฟ้าและน้ำประปาทั่วเกาะยังใช้การไม่ได้ ขณะที่ประชาชนหลายพันคนต้องร่วมมือกันกู้ซากบ้านเรือนและทรัพย์สินจากโคลนและน้ำท่วม

แม้สนามบินนานาชาติในกรุงคิงส์ตันจะกลับมาเปิดให้บริการได้บางส่วน แต่สนามบินภูมิภาคหลายแห่งยังปิดทำการ ถนนหลายสายพังเสียหายอย่างหนัก เช่น เส้นทางจากเมืองแมนเดวิลถึงแบล็คริเวอร์ ซึ่งปกติใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง ต้องใช้เวลามากกว่า 8 ชั่วโมง เนื่องจากถนนขาดและเต็มไปด้วยต้นไม้หักโค่น

ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นความเสียหายรุนแรงในหลายพื้นที่ของจาเมกา หมู่บ้านบางแห่งแทบไม่เหลือสิ่งปลูกสร้าง ขณะที่ชาวบ้านจำนวนมากระบุว่า “ไม่มีคำใดจะอธิบายความเสียหายครั้งนี้ได้”

ใน เฮติ พายุเมลิสซาทำให้แม่น้ำหลายสายเอ่อล้นตลิ่ง โดยเฉพาะที่เมืองเปอตีต์-โกฟ เกิดน้ำท่วมฉับพลัน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 30 ราย และประชาชนกว่า 15,000 คน ต้องอพยพไปอยู่ในศูนย์พักพิงกว่า 120 แห่ง ตามรายงานขององค์การสหประชาชาติ

ส่วนที่ คิวบา ทางการเปิดเผยว่ามีประชาชนมากกว่า 3 ล้านคน อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย แต่สามารถอพยพได้แล้วราว 735,000 คน แม้ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต แต่มีชุมชนกว่า 240 แห่ง ถูกตัดขาดจากน้ำท่วมและดินถล่ม

ทั้งนี้ พายุเฮอร์ริเคน “เมลิสซา” เคลื่อนขึ้นฝั่งที่จาเมกาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ด้วยความเร็วลมสูงสุดถึง 295 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จัดเป็นพายุระดับ 5 ซึ่งเป็นระดับรุนแรงที่สุด ก่อนเคลื่อนตัวต่อไปถล่มเฮติและคิวบา และกำลังมุ่งหน้าสู่เบอร์มิวดา