13 พฤศจิกายน 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามรับรองร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว เพื่อยุติภาวะการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หรือ “ชัตดาวน์” ที่ดำเนินมานานถึง 43 วัน ซึ่งนับว่ายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ภายหลังจากสภาผู้แทนราษฎรลงมติ 222 ต่อ 209 เสียง เห็นชอบให้ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณดังกล่าวเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า

ร่างกฎหมายนี้ผ่านการเห็นชอบจากวุฒิสภาแล้วก่อนหน้านี้ โดยจะอนุมัติการใช้งบประมาณต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 30 มกราคม เพื่อฟื้นฟูโครงการของรัฐที่ได้รับผลกระทบจากการชัตดาวน์ เช่น การจ่ายเงินเดือนพนักงานภาครัฐหลายแสนคน การจัดสรรงบให้กับโครงการช่วยเหลือด้านอาหาร และการฟื้นระบบควบคุมการบินที่หยุดชะงักไปตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐคาดว่าจะกลับมาเปิดทำการได้เร็วที่สุดภายในวันพฤหัสบดี (13 พ.ย.)

การสิ้นสุดของภาวะชัตดาวน์ช่วยให้หลายหน่วยงานสำคัญกลับมาดำเนินงานได้ทันก่อนช่วงวันหยุดเทศกาลขอบคุณพระเจ้า และคริสต์มาส โดยเฉพาะบริการด้านการบินและโครงการแจกอาหารให้ครอบครัวรายได้น้อย อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังคงเผชิญภาระหนี้รวมกว่า 38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งอาจกลายเป็นแรงกดดันสำคัญต่อเศรษฐกิจในระยะยาว

แม้ภาวะชัตดาวน์จะสิ้นสุดลง แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจและการเมืองยังคงดำเนินต่อไป โดยนักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่า การปิดหน่วยงานรัฐทำให้จีดีพีของสหรัฐฯ หดตัวลงราว 0.1% ต่อสัปดาห์ ของช่วงที่รัฐบาลไม่เปิดทำการ ขณะที่ผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอสระบุว่า ประชาชนกว่า 50% โทษพรรครีพับลิกัน ส่วนอีก 47% โทษพรรคเดโมแครต สำหรับวิกฤตทางการเมืองที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ การประชุมสภาคองเกรสที่กลับมาเปิดอีกครั้ง ยังมีประเด็นสำคัญรอการพิจารณา อาทิ การเปิดเผยเอกสารเพิ่มเติมในคดีของ เจฟฟรีย์ เอปสตีน ผู้ต้องหาคดีล่วงละเมิดทางเพศ รวมถึงมาตรการเยียวยาและการชดเชยแก่เจ้าหน้าที่รัฐที่ได้รับผลกระทบจากการชัตดาวน์ครั้งนี้

แม้ไม่มีฝ่ายใดถือว่าชนะอย่างแท้จริงจากวิกฤตรัฐบาลหยุดทำงาน แต่การกลับมาของหน่วยงานรัฐและบริการสาธารณะ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยคลายความกังวลของประชาชนและนักลงทุน ก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาลสำคัญปลายปี