25 พฤศจิกายน 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า  กระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิของสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ว่า 'คริสตี โนม' รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิได้หารือกับหน่วยงานรัฐบาลต่างๆ แล้วได้ข้อสรุปว่า สถานะคุ้มครองชั่วคราว (Temporary Protected Status:TPS) ที่มอบให้แก่ชาวเมียนมาเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป แถลงการณ์อ้างคำกล่าวของโนมว่า สถานการณ์ในเมียนมามีการปรับปรุงมากพอที่พลเรือนเมียนมาสามารถเดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย 

กระทรวงฯ จึงตัดสินใจยุติการให้สถานะคุ้มครองชั่วคราว พร้อมกับระบุว่า เมียนมามีความคืบหน้าอย่างสำคัญเรื่องการปกครองและเสถียรภาพ ประกอบด้วยการยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน การเตรียมจัดการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรม การมีข้อตกลงหยุดยิงที่ประสบความสำเร็จ และการมีการปกครองท้องถิ่นที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยส่งเสริมการให้บริการสาธารณะและความปรองดองแห่งชาติ

โดยแถลงการณ์ยังได้ยกย่องรัฐบาลทหารเมียนมาเรื่องเข้าร่วมในการเจรจาหยุดยิงกับกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ และกล่าวถึงจีนว่ามีบทบาทในฐานะผู้ไกล่เกลี่ย พร้อมกับระบุว่า ชาวเมียนมาในสหรัฐฯ ราว 4,000 คน จะสูญเสียสถานะคุ้มครองชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2569 หรือ 60 วันหลังจากมีการเผยแพร่การตัดสินใจนี้ในระบบทะเบียนหลัก (Federal Register) ซึ่งเป็นวารสารของทางการสหรัฐฯ

รัฐบาลสหรัฐฯ ให้สถานะคุ้มครองชั่วคราวแก่ชาวเมียนมาในสหรัฐฯ ครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม 2564 สมัยรัฐบาลโจ ไบเดน หลังจากรัฐบาลทหารเมียนมายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพลเรือนของนางออง ซาน ซู จี ในเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกัน จากนั้นได้ต่ออายุ 2 ครั้งในเดือนกันยายน 2565 และพฤษภาคม 2567 สถานะดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ ขณะที่นายทรัมป์ได้เพิกถอนสถานะคุ้มครองชั่วคราวที่ให้แก่คนหลายประเทศ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคมปีนี้ ตามมาตรการกวาดล้างผู้อพยพ

ก่อนหน้านี้กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมียนมาล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม เตือนชาวอเมริกันให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปเมียนมา เนื่องจากมีเหตุไม่สงบทางพลเรือน มีความขัดแย้งทางอาวุธ และมีการใช้กฎหมายท้องถิ่นแบบศาลเตี้ย เมียนมามีประเด็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนอย่างสำคัญ โดยมีรายงานเชื่อถือได้เรื่องการสังหารและบังคับให้บุคคลสูญหายอย่างผิดกฎหมาย การทรมาน การข่มเหงผู้สื่อข่าว การจำกัดเสรีภาพทางศาสนา และอื่นๆ