กัมพูชาเล่นบทดราม่า ฟาดยูเนสโกปิดหูปิดตา ไม่ประณามไทยถล่มปราสาทโบราณเขมร

กัมพูชาเล่นบทดราม่า ฟาดยูเนสโกปิดหูปิดตา ไม่ประณามไทยถล่มปราสาทโบราณเขมร

วันพฤหัสบดี ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 14.45 น.

11 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายเขียว รามี  (Keo Ramy) รัฐมนตรีอาวุโสและประธานองค์กรสิทธิมนุษยชนของกัมพูชา ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงการทำงานของผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การยูเนสโกคนปัจจุบันว่า ไม่มีหัวใจ ยอมนิ่งเงียบ ปิดหู ปิดตา ไม่ออกมาประณามไทยที่โจมตีปราสาทโบราณของเขมร 

สำนักข่าวกัมพูชาหลายสำนักได้ออกมารายงานข่าวว่า นายเขียว รามี ได้เปรียบเทียบผู้นำยูเนสโกชุดปัจจุบันกับชุดก่อนๆ ว่า ผู้นำยูเนสโกในอดีตมีหัวใจรักและให้คุณค่าต่อปราสาทโบราณ ต่อสมบัติมรดกแห่งชาติและของโลกเป็นอย่างมาก 


ซึ่งเมื่อประเทศสมาชิกเกิดสงครามภายใน หรือสงครามระหว่างรัฐต่อรัฐ ยูเนสโกมักจะออกแถลงการณ์ปกป้อง ป้องกันไม่ให้การปะทะด้วยอาวุธนั้นส่งผลกระทบหรือทำลายสมบัติทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ แต่งต่างจากผู้นำชุดปัจจุบันที่เลือกจะยิ่งเงียบ

ขณะที่ทหารไทยกำลังได้ใจ ทำลายแหล่งมรดกโลกของกัมพูชา แต่ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รับผิดชอบจากองค์กรระหว่างประเทศกลับไม่ออกมาขัดขวาง หรือประณามการกระทำดังกล่าว ซึ่งเขาบอกว่า ก้อนหินทั้งหลายที่เป็นผลงานของบรรพบุรุษเขมรกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร้องเรียกหาผู้มาช่วยชีวิตจากพวกทมิฬผู้รุกรานซึ่งเป็นศัตรูทางประวัติศาสตร์

กระทรวงวัฒนธรรมกัมพูชาอ้างว่า นับตั้งแต่ปราสาทพระวิหารได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 ไทยได้สร้างข้ออ้างและก่อความขัดแย้งด้วยอาวุธในพื้นที่ปราสาทพระวิหารหลายครั้งในช่วงปี 2551 - 2554 พร้อมทั้งได้ก่อความขัดแย้งระลอกใหม่ เมื่อวันที่ 24-28 กรกฎาคม 2568

กองทัพไทยได้ใช้อาวุธหนัก F-16 ทำลายโครงสร้างพื้นฐานของปราสาทพระวิหาร ซึ่งถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่ออนุสัญญากรุงเฮกปี 1954 ว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในกรณีที่มีการขัดกันทางอาวุธ และอนุสัญญาองค์การยูเนสโกปี 1972 ว่าด้วยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของโลก ซึ่งประเทศไทยก็เป็นรัฐภาคีด้วยเช่นกัน

กัมพูชา ยังอ้างว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม กองทัพไทยได้ทำลายอาคารอนุรักษ์ของโครงการอนุรักษ์และซ่อมแซมโคปุระชั้นที่ 5 ซึ่งเป็นแนวระเบียงคด รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ล้มอรอบปราสาทประธานของปราสาทพระวิหาร และโครงสร้างพื้นฐานด้านการอนุรักษ์อื่นๆ รวมถึงได้ทำลายเครนยกของ

และเมื่อ 9 ธันวาคม กองทัพไทยได้เปิดฉากระดมยิงทำลายปราสาทตาควายของกัมพูชา ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างหนักที่ส่วนยอดและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ของปราสาท ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของกัมพูชา 

กระทรวงวัฒนธรรมถือว่าการกระทำนี้เป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้ศีลธรรม ดูหมิ่นเหยียดหยามวัฒนธรรม อารยธรรม และสถานที่สักการะอันเป็นมรดกของมนุษยชาติ โดยเฉพาะวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษเขมรได้สร้างทิ้งไว้ซึ่งมีค่ามหาศาล

กระทรวงวัฒนธรรมกัมพูชาเรียกร้องให้นานาชาติ โดยเฉพาะองค์การยูเนสโก อาเซียน และบุคคลผู้รักมรดกทางวัฒนธรรม ร่วมกันประณามและผลักดันให้ไทยยุติกิจกรรมการทำลายล้างนี้โดยด่วน

ส่วนทางด้านนายแก้ว เจีย ผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำสหประชาชาติ ส่งหนังสือถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ให้เข้ามาดำเนินการต่อสิ่งที่กัมพูชาอธิบายว่าเป็น การโจมตีด้วยอาวุธ ที่ไม่มีการยั่วยุและทวีความรุนแรงขึ้น ของกองกำลังไทยตามแนวชายแดน 

คำร้องของกัมพูชามีขึ้นหลังการปะทะที่ทวีความรุนแรงติดต่อกันหลายวันในจังหวัดชายแดน รวมถึงพระวิหารและอุดรมีชัย โดยฝ่ายกัมพูชา อ้างว่ากองทัพไทยใช้อาวุธหนัก ทั้ง รถถัง ปืนใหญ่ โดรน เครื่องบินรบ และควันพิษ ในการโจมตีที่ลุกลามเข้าไปยังพื้นที่พลเรือน

ปฏิบัติการทางทหารเหล่านี้เป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติอย่างร้ายแรง รวมถึงข้อห้ามเด็ดขาดต่อการคุกคามหรือการใช้กำลัง พร้อมเตือนว่าสถานการณ์ขณะนี้เป็นภัยคุกคามที่ชัดเจนและใกล้ตัวต่อสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค

โดยเนื้อความของจดหมายนั้น ระบุว่า กองกำลังไทยได้ยิงใส่ตำแหน่งของกัมพูชาเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม และยกระดับการโจมตีตั้งแต่ช่วงเช้าวันถัดมา ด้วยการยิงถล่มอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ กัมพูชายังกล่าวหาว่าการโจมตีลุกลามเข้าสู่เขตพลเรือนไม่ใช่พื้นที่สู้รบในจังหวัดบันเตียเมียนเจย และ ณ วันที่ 10 ธันวาคม ขยายไปยังบางส่วนของจังหวัดโพธิสัตว์และพระตะบอง

การโจมตีทำให้พลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บ บ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะถูกทำลาย รวมถึงความเสียหายต่อแหล่งมรดกที่ได้รับการคุ้มครอง เช่น พื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร มรดกโลกยูเนสโก ซึ่งเคยเป็นจุดปะทุความตึงเครียดตามแนวชายแดนระหว่างสองประเทศมายาวนาน การโจมตีเป้าหมายพลเรือนโดยเจตนาและอย่างไม่เลือกเป้าของไทย ถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง

ผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำสหประชาชาติ ทิ้งท้ายอีกว่า กัมพูชายังคงมุ่งมั่นแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติ โดยกองกำลังกัมพูชาได้ อดกลั้นสูงสุด ด้วยการไม่ตอบโต้เป็นเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเคารพข้อตกลงหยุดยิงและความตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ แต่ยังสงวนสิทธิในการป้องกันตนเองภายใต้มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top