(ซ้าย) วิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี, นิโคลา ครอสตา, โธมัส ดาวิน และ อภิชาติ จูตระกูล
ยูนิเซฟ และมูลนิธิเครือข่ายพัฒนาบ้านเด็ก ร่วมนำเสนอรายการวิจัยภายใต้หัวข้อ “สร้างสรรค์อนาคตประเทศไทย: เกื้อหนุนชีวิตเด็กในแคมป์ก่อสร้าง” พร้อมเสนอแนะ 12 แนวปฏิบัติเพื่อให้บริษัทในภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ชีวิตของเด็กข้ามชาติในแคมป์ก่อสร้างทั่วประเทศไทย โดยมี นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และนายวิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน) ร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กๆ ในแคมป์ก่อสร้าง
นายนิโคลา ครอสตา ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเครือข่ายพัฒนาบ้านเด็ก กล่าวว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เรามีโอกาสร่วมงานกับบริษัทต่างๆ มากมายเพื่อปรับปรุงด้านที่พักอาศัยและการดูแลด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านสิทธิเด็กด้านสุขภาพและด้านการศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กที่อาศัยอยู่ที่แคมป์ก่อสร้างแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ได้ผล และไม่เพียงเป็นแค่ช่วยให้พวกเด็กๆ มีชีวิตที่ดีขึ้นได้แต่ยังส่งผลดีต่อการดำเนินกิจการของบริษัทด้วยนั้น มีอยู่จริง แต่สิ่งที่เราขาดอยู่ในตอนนี้คือ การลงมือปฏิบัติให้เกิดขึ้นซึ่งกรอบปฏิบัติการนี้จะช่วยเป็นแนวทางให้บริษัทต่างๆ หน่วยงาน และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นในการพัฒนาความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐานของเด็กๆ ซึ่งถ้าหากสามารถพัฒนาให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ อุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศไทยจะมีส่วนสร้างบรรทัดฐานใหม่ ที่จะส่งผลดีและก่อให้เกิดประโยชน์แก่เด็กรุ่นต่อๆ ไป”
โธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยมีนโยบายและกฎหมายในการสนับสนุนให้เด็กทุกคนในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติได้เข้าถึงสิทธิและบริการขั้นพื้นฐาน อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติแล้วยังคงมีอุปสรรคที่เด็กๆ เหล่านี้ต้องเผชิญอยู่และด้วยจำนวนโครงการก่อสร้างที่มีในประเทศไทยที่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ทุกบริษัทในอุตสาหกรรมก่อสร้างจะตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาที่เด็กๆ เหล่านี้ต้องเผชิญ และร่วมใจกันนำกรอบปฏิบัติการนี้ไปปรับใช้ เริ่มลงทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กเหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้น และเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศไทย”
นายวิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ในฐานะองค์กรภาคเอกชนที่เล็งเห็นความสำคัญตั้งแต่เริ่มต้นในเรื่องความสุขที่ยั่งยืนของบุคลากรและแรงงาน เราจึงเดินหน้าตามแนวคิด สุขคนสร้าง” โดยหมายถึงฝีมือแรงงานที่มีส่วนสำคัญในการสร้างและพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพ จึงมองเห็นถึงความสุขในสถานที่ทำงานเป็นสำคัญ หากพื้นที่โครงการก่อสร้างมีความสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย จะเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย สามารถหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุในระหว่างการปฏิบัติงานได้ ในขณะเดียวกันคือการส่งเสริมด้านสุขอนามัยที่ดีของแรงงาน โดยแบ่งสัดส่วนโครงสร้างพื้นฐานการใช้งานอย่างชัดเจน อาทิ ที่พักอาศัยชั่วคราว ห้องอาบน้ำ เป็นต้น นอกจากนี้พบว่ามีเด็กที่ติดตามครอบครัวแรงงานในแต่ละโครงการมีจำนวนมาก หากจัดสรรพื้นที่อย่างเหมาะสมจะทำให้เด็กๆ ไม่เสี่ยงต่ออันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ จึงได้สร้าง ศูนย์การเรียนรู้สำหรับเด็กในสถานที่ก่อสร้าง หรือ Child FriendlySpace ขึ้น เพื่อทำให้เด็กเหล่านี้ได้มีโอกาสพัฒนาทักษะต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองในอนาคต รวมทั้งยังเป็นการลดข้อกังวลในทุกด้านต่อบุตรหลานระหว่างแรงงานปฏิบัติงานอีกด้วย
ทั้งนี้ ในรายงาน “สร้างสรรค์อนาคตประเทศไทย: เกื้อหนุนชีวิตเด็กในแคมป์ก่อสร้าง” ได้ตอกย้ำให้เห็นถึงความท้าทายหลัก 4 ประการ ที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเด็กข้ามชาติที่ต้องอาศัยอยู่ตามแคมป์ก่อสร้าง อันได้แก่ ระบบโครงสร้างพื้นฐาน การขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสม อาทิ มีห้องอาบน้ำและห้องสุขาที่ไม่เพียงพอ และห้องน้ำที่ไม่แยกเพศ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการล่วงละเมิดทางเพศ สิทธิ พบความเสี่ยงด้านการถูกกีดกันทางสังคมที่มากขึ้นรวมถึงการถูกแบ่งแยก การถูกละเลย และการใช้ความรุนแรงโดยพบว่าเด็กจำนวนเก้าในสิบคนที่ให้สัมภาษณ์ในรายงานเคยเห็นพวกผู้ใหญ่ทะเลาะกันและใช้ความรุนแรงหรือประสบกับความรุนแรงด้วยตนเอง ทั้งจากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง
สุขภาพ การเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขที่ไม่เพียงพอและไม่ทั่วถึง โดยผู้ปกครองจำนวนหนึ่งในห้าคนที่ให้สัมภาษณ์ในรายงานกล่าวว่าบุตรหลานในครอบครัวไม่ได้รับวัคซีนพื้นฐาน และเกือบครึ่งกล่าวว่าลูกหลานของตนบางคนไม่มีบัตรประกันสุขภาพ และ การศึกษา เด็กในแคมป์ก่อสร้างส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนและได้รับการศึกษาที่เหมาะสม ซึ่งเกิดจากข้อจำกัดหลายประการ อาทิ การต้องย้ายถิ่นฐานเป็นประจำ การไม่รู้สิทธิขั้นพื้นฐานด้านการศึกษาของตนเอง การไม่เข้าใจภาษาและไม่สามารถสื่อสารได้ รวมถึงไม่มีเงินจ่ายค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในส่วนที่การสนับสนุนของรัฐไม่ได้ครอบคลุมถึง
อย่างไรก็ตาม รายงานการวิจัยนี้ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโครงการที่ริเริ่มขึ้นโดยภาคส่วนต่างๆ ซึ่งไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่เด็กได้รับแต่รวมถึงโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นภาพลักษณ์ด้านบวกต่อตัวแบรนด์ในหมู่ผู้ลงทุน การรักษาแรงงานภายในองค์กร และประสิทธิภาพของการทำงานที่เพิ่มขึ้นยูนิเซฟและมูลนิธิเครือข่ายพัฒนาบ้านเด็กจึงได้เสนอแนะแนวปฏิบัติ 12 ประการ เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถนำไปวางแผนและลงมือปฏิบัติเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเด็กๆ ซึ่งเป็นบุตรหลานของพนักงานภายใต้การดูแลได้จริง รวมถึงขยายผลโครงการไปสู่การช่วยเหลือเด็กๆ อย่างได้ผลทั่วประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี