เทวสถาน
ด้วยเหตุที่เมืองชัยปุระนั้นเป็นเมืองสำคัญแห่งรัฐราชสถานที่มีผังเมืองแบบเดียวกับกรุงศรีอยุธยา แม้จะอยู่ไกลเกินกว่าจะเชื่อมสัมพันธไมตรีได้สะดวกนัก แต่ด้วยเห็นว่าสถาปัตยกรรมและศิลปะนั้นมีความน่าสนใจร่วมสมัยถึงกัน อาทิตย์นี้จึงเดินทางตามรอยสถาปัตยกรรมเมืองชัยปุระถึงอินเดีย เมืองชัยปุระแห่งนี้ตั้งครั้งสมัยอยุธยาเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๒๗๐ (ค.ศ.๑๗๒๗) โดยมหาราชาสวาอี ชัยสิงห์ที่ ๒ เจ้าครองนครอาเมร์ (Amer) เมืองนี้ถือว่ามีผังเมืองที่น่าสนใจและมีถนนกว้างแบ่งเป็นช่องตารางจำนวน ๖ เขต ที่กั้นด้วยถนนกว้างกว่า ๓๔ เมตร ใจกลางเมืองนั้นถูกถนนล้อมรอบสี่ด้านโดยแบ่งเป็นห้าเขตล้อมทางด้านทิศตะวันออก ทิศใต้และทิศตะวันตกซึ่งเป็นเขตพระราชวัง และเขตที่หกนั้นอยู่ทางทิศตะวันออก ภายในบริเวณเขตพระราชวังประกอบด้วย หมู่พระราชมณเฑียรฮาวามาฮาล(Hawa Mahal) สวนสาธารณะ และทะเลสาบขนาดเล็กแล้ว ยังมีป้อมนาฮาการ์ (Nahargarh Fort) ซึ่งเป็นพระราชวังที่ประทับของมหาราชาสวาอี ชัยสิงห์ที่ ๒ ตั้งอยู่บนเชิงเขาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเขตเมืองเก่า และมีหอดูดาวจันตาร์ มันตาร์ (Jantar Mantar) ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก มหาราชาสวาอี ชัยสิงห์ ที่ ๒ แห่งอาเมร์ผู้สร้างเมืองนั้นสืบเชื้อสายมาจากราชปุต ราชวงศ์กาญจวาหา (Kachchwaha) ซึ่งปกครองระหว่างปี พ.ศ.๒๒๔๒-๒๒๘๗ ที่เมืองหลวงคือ “แอมเมร์” (Amber)ตั้งอยู่ห่างจากชัยปุระประมาณ ๑๑ กิโลเมตร การย้ายเมืองหลวงครั้งนั้นเนื่องจากมีประชากรเพิ่มขึ้นและเกิดการขาดแคลนแหล่งน้ำอย่างรุนแรงมาก พระองค์ทรงศึกษาตำราสถาปัตยกรรมมากมาย พร้อมทั้งที่ปรึกษาต่างๆ ก่อนจะทำผังเมืองของชัยปุระ ในที่สุดได้สถาปนิกคนสำคัญคือ “วิทยาธร ภัตตาจารย์” (Vidyadhar Bhattacharya)ผู้เป็นปราชญ์วรรณะพราหมณ์จากเบงกอล ต่อมาเป็นหัวหน้าสถาปนิกของมหาราชา ช่วยวางแผนและออกแบบอาคารต่างๆ รวมถึงพระราชวังหลวงใจกลางเมือง พร้อมทั้งกำแพงเมืองอย่างหนาแน่นที่เกิดขึ้นภายหลังสงครามกับจักวรรดิมราฐา
กำแพงป้อมบนเขา
นอกจากนี้พระองค์ยังมีความสนใจด้านดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ดาราศาสตร์ด้วย จึงทำให้ชัยปุระนั้นมีรูปแบบสถาปัตยกรรมตามหลักของวัสดุศาสตร์ (Vastu Shastra)และหลักจากตำราอื่นๆ การสร้างเมืองชัยปุระอย่างจริงจังใน พ.ศ.๒๒๗๐ ใช้เวลาการสร้างมากกว่า ๔ ปี ในการสร้างพระราชวัง ถนน และจัตุรัสต่างๆ โดยสร้างเมืองตามหลักตำราศิลปศาสตร์ (Shilpa Shastra) ซึ่งเป็นศาสตร์ของสถาปัตยกรรมอินเดีย โดยแบ่งผังเมืองออกเป็น ๙ ส่วนเท่าๆ กันอย่างตารางหมากรุก โดยสองส่วนเป็นที่ตั้งของพระราชวังต่างๆ และสถานที่ราชการต่างๆ ส่วนที่เหลืออีก ๗ ส่วนนั้นเป็นที่สำหรับประชาชนทั่วไป รอบเมืองถูกล้อมด้วยปราการอย่างแน่นหนาโดยเข้าออกผ่านทางประตูเมืองทั้ง ๗ แห่ง โดยรอบเหมือนกับกรุงศรีอยุธยา จะผิดก็ตรงป้อมนั้นอยู่บนเขา
คณะช่างภาพจากเมืองไทย
ภายหลังปี พ.ศ.๒๔๑๑ นั้น มหาราชาสวาอี ราม สิงห์ (Sawai Ram Singh) ได้มีพระบัญชาให้ทาสีอาคารบ้านเรือนต่างๆ ในเมืองเป็นสีชมพูเพื่อเป็นการต้อนรับเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดเจ้าชายแห่งเวลส์ในคราวเสด็จฯเยือนชัยปุระอย่างเป็นทางการ สีชมพูนั้นก็ยังคงอยู่จนปัจจุบันและได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของชัยปุระมาจนทุกวันนี้ ชัยปุระจึงเป็นเมืองที่มีการท่องเที่ยวมากที่สุดในอินเดีย และเอเซีย และเป็นที่ตั้งของห้องสูทอันหรูหราในโรงแรมที่แพงติดอันดับที่ ๒ จากทั้งหมด ๑๕ อันดับของโลก (World’s 15 most expensive hotel suites) ซึ่งเป็นห้อง Presidential Suite ของโรงแรมรัช พาเลซ (Raj Palace Hotel) มีราคากว่า US$ 45,000 ต่อคืน (จากการจัดอันดับโดยCNN Go ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕) ส่วนแหล่งท่องเที่ยวนั้นที่น่าสนใจนั้นมีจันทรา มาฮาล ในพระราชวังซิตี้พาเลสป้อมนาฮาการ์ พระราชวังฮาวา มาฮาล พระราชวังกลางน้ำจาล มาฮาล จันตาร์ มันตาร์ป้อมจัยการห์ ป้อมแอมแมร์ ดังนั้นทั้งพระราชวังหลวง,พระราชวังสายลม, พระราชวังแอมเบอร์ฟอร์ทที่มีสีชมพูนั้น จึงถูกขนานนามเมืองชัยปุระ (Jaipur) ว่านี่คือ Pink City หรือนครสีชมพู ที่ทำให้เป็นที่สนใจของนักถ่ายภาพที่ชอบวิ่งหาแสงเงา...ถ่ายภาพกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี