ศูนย์กลางของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งใหญ่ในเกาหลีใต้ อยู่ที่หญิงวัย 61 ปี ซึ่งเป็นสาวกของโบสถ์คริสต์ชินชอนจีในเมืองแทกู และนำไปสู่การติดเชื้อต่ออีกหลายคน ว่าแต่มันเกิดขึ้นได้ยังไง
สตรีเกาหลีวัย 61 ปี สาวกของโบสถ์ชินชอนจีในเมืองแทกู ถือเป็นคนไข้ติดเชื้อโควิด-19 รายที่ 31 ของเกาหลีใต้โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของเกาหลีใต้ได้นิยามว่า นี่คือ “super-spreading event” หรือเหตุการณ์ที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วมาก เพราะจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มอย่างรวดเร็วนั้น ล้วนเป็นผู้ที่อยู่ในลัทธิเดียวกันกับคนไข้รายที่ 31
นายกเทศมนตรีของเมืองแทกูระบุว่า มีสาวกของโบสถ์ประมาณ 1,000 คนที่เข้าร่วมการสวดมนต์กับผู้ติดเชื้อรายที่ 31ในจำนวนนั้นมีประมาณ 90 ที่แจ้งว่ามีอาการต้องสงสัยว่าติดเชื้อ และทางการได้สั่งให้พวกเขากักตัวเองอยู่ที่บ้านก่อน
ด้านโบสถ์ชินชอนจีได้ประกาศปิดที่ทำการของโบสถ์ทั่วประเทศไปแล้ว และขอให้บรรดาสมาชิกโบสถ์สวดมนต์ออนไลน์แทน และให้คำมั่นว่าจะให้ความร่วมมือกับทางการอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ รายงานว่าบาทหลวงชิน ฮุนอุค ซึ่งรณรงค์ต่อต้านลัทธิโบสถ์ชินชอนจี แสดงความกังวลว่าอาจมีผู้ติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับโบสถ์ชินชอนจีมากกว่านี้ จากกิจกรรมการแผยแพร่ศาสนาของหมู่สมาชิกในเชิงรุก และลักษณะห้องสอนศาสนาของโบสถ์เอง
บาทหลวงชินระบุว่า สาวกของโบสถ์ชินชอนจีมักจะเข้าไปที่โบสถ์คริสต์อื่นๆ ไปร่วมสวดมนต์และทำกิจกรรมกับชาวคริสต์ด้วยกัน และหลังจากนั้นก็จะพยายามโน้มน้าวชักจูงชาวคริสต์ทั่วไป ให้เข้าร่วมลัทธิของโบสถ์ชินชอนจี จึงทำให้เขาตั้งข้อสงสัยว่าทางโบสถ์จะร่วมมือกับทางการเกาหลีใต้ตรวจสอบเพื่อสืบหาร่องรอยการติดเชื้อมากน้อยแค่ไหน หากมันทำให้โบสถ์ต้องเปิดเผยข้อมูลกิจกรรมการเผยแพร่ศาสนาที่ทำกันมาอย่างลับๆ
ด้าน Nocut News สื่อท้องถิ่นเกาหลีใต้ ได้สัมภาษณ์สาวกของโบสถ์ชินชอนจีรายหนึ่ง จึงทำให้เห็นภาพการทำกิจกรรมในโบสถ์ชัดเจนขึ้น
ผู้ให้ข้อมูลระบุว่า สาขาของโบสถ์ชินชอนจีในเมืองแทกูนั้นมีแปดชั้น โดยปกติ หญิงที่แต่งงานแล้วจะรวมตัวกันที่ชั้นสี่ ส่วนหญิงและชายที่ไม่ได้แต่งงาน
จะอยู่ชั้นแปด และชายที่แต่งงานแล้วจะรวมตัวกันที่ชั้นเจ็ด
ในการทำกิจกรรมของแต่ละชั้นบรรดาสมาชิกจะเข้าไปในห้องโถงและนั่งติดกันมากชนิดที่ว่าไหล่ชิดกัน และร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงตามด้วยการฟังเทศน์อีกราวหนึ่งชั่วโมงโดยผู้ที่เปิดเผยข้อมูลบอกกับสื่อว่า พวกเธอถูกบอกให้ถอดหน้ากากอนามัยออกระหว่างการสวดมนต์ และหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมทางศาสนา บรรดาสมาชิกก็จะอยู่ร่วมทำกิจกรรมอย่างอื่นกันต่อ เช่นกลุ่มหญิงที่แต่งงานแล้วมักจะจัดปาร์ตี้ที่ต่างคนต่างนำอาหารมาแบ่งปันกัน
ด้าน แถลงการณ์ของโบสถ์ชินชอนจีระบุว่า ทางโบสถ์ได้มีการแนะนำสมาชิกที่เพิ่งกลับจากต่างประเทศ หรือมีอาการคล้ายหวัด ให้อยู่แต่ที่บ้านก่อนยังไม่ต้องมาร่วมกิจกรรมไปก่อนหน้านี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อรายที่ 31คิดว่าตัวเองนั้นเป็นไข้หวัดธรรมดาเพราะเธอไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ จึงได้มาทำกิจกรรมที่โบสถ์ตามปกติ
ทั้งนี้ เกาหลีใต้มีผู้นับถือศาสนาคริสต์ราว 14 ล้านคน ในจำนวนนี้ราวสองล้านคน เป็นสมาชิกโบสถ์หรือลัทธิที่ไม่ได้อยู่ในกระแสหลัก
สำหรับ โบสถ์ชินชอนจีนั้นก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2527 มีสมาชิกราวสองแสนคนทั่วประเทศ เฉพาะที่เมืองแทกู มีสมาชิกราว13,000 คน นอกจากนี้ยังมีสมาชิกนอกเกาหลีใต้ เช่น ที่ญี่ปุ่น จีนฮ่องกง และบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกราวสองหมื่นคน
ลี มัน ฮี ผู้ก่อตั้งโบสถ์ชินชอนจีวัย 88 ปี อ้างว่า เขาได้รับอาญาสิทธิ์จากพระเยซูคริสต์ และเขาสามารถนำผู้คน144,000 คน ไปสวรรค์กับเขาได้ในวันพิพากษา
ขณะที่บาทหลวงชินระบุว่า หลายคนมองว่าลัทธินี้อันตราย เพราะมีความเชื่อแบบผิดๆ เกี่ยวกับวันพิพากษา และโบสถ์คริสต์หลายแห่งเริ่มมีการเตือนไม่ต้อนรับสาวกของโบสถ์ชินชอนจีเข้าอาคารของพวกเขาแล้ว
ด้านปาร์ค ฮยอง ตัค ผู้อำนวยการสถาบันวิจัย Korea Christian Heresyระบุว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19สร้างผลกระทบอย่างจังต่อลัทธิชินชอนจีซึ่งชูว่าสาวกของพวกเขานั้นคือผู้ที่ถูกเลือกจากพระเจ้า ในขณะที่ตอนนี้ สาวกส่วนใหญ่ยังยอมรับการติดเชื้อจากโบสถ์ในครั้งนี้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ “ทดสอบความเชื่อของพวกเขา” นั่นเอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี