สำหรับคนที่มีลูกที่กำลังจะปิดเทอม คงต้องวางแผนว่า จะให้ลูกทำอะไรดี ซึ่งเป็นคำถามยอดฮิตของทุกครอบครัวที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะส่งลูกไปเรียนทำกิจกรรมเสริม อย่างเช่น กีฬา ดนตรี ศิลปะ รวมถึงการเข้าค่ายเสริมสร้างทักษะด้านต่างๆ หรือส่งไปเรียนพิเศษเพื่อกวดวิชากันดี
ข้อมูลจาก รศ.พญ.ทิพวรรณ หรรษคุณาชัย กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการเด็ก เปิดเผยว่าปิดเทอม คือช่วงเวลาความสุขที่เด็กๆต่างเฝ้ารอ เพราะนอกจากจะได้หยุดพักจากการเรียนแล้ว ยังสามารถทำสิ่งต่างๆ ตามใจตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นนอนตื่นสาย ไม่ต้องรีบเข้านอนได้เล่นเกม ได้ไปเที่ยว ฯลฯ แต่พ่อแม่หลายคนกลับรู้สึกไม่สนุกสักเท่าไรเพราะไหนจะต้องทำงาน ไหนจะต้องเลี้ยงลูก แถมต้องหาวิธีการรับมือกับช่วงเวลาว่างๆ ของลูกให้ดีไม่เช่นนั้นวันๆ เขาก็จะขลุกอยู่กับโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือเกมอย่างเดียว!!
คิดก่อนส่งลูกเรียนกวดวิชา
การส่งลูกเรียนพิเศษในช่วงปิดซัมเมอร์ดูจะเป็นทางเลือกยอดนิยมของคนเป็นพ่อแม่สมัยนี้ ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น ไม่มีคนดูแลลูก กลัวว่าลูกจะเล่นซนไปวันๆ อยากให้ลูกเรียนเก่งๆ หรือ อยากให้ลูกเข้าโรงเรียนชื่อดัง
อันที่จริงการส่งลูกเรียนเสริมเพื่อเตรียมความพร้อมในการศึกษาต่อระดับชั้นที่สูงขึ้นเป็นเรื่องที่ดี แต่คุณเคยลองถามความคิดเห็นลูกกันดูบ้างไหม? ถ้าเขาเต็มใจหรือชอบที่จะเรียนก็ดีไป แต่ถ้าลูกไม่อยากไปแล้วถูกบังคับให้ทำ สุดท้ายก็อาจกลายเป็นปัญหาและอาจจะส่งผลเสียตามมา ไม่ว่าจะเป็น ไม่สนใจเรียนเอาแต่นั่งเล่น นั่งคุยกันกับเพื่อน หรือเผลอๆ ชวนกันโดดเรียนหนีไปเที่ยว
ดังนั้น คุณควรพูดคุยสอบถามความคิดเห็นเพื่อทำความเข้าใจและอธิบายเหตุผลให้ลูกฟังก่อน ว่าทำไมถึงต้องส่งเขาไปเรียนพิเศษ พร้อมให้คำแนะนำที่ดีแก่ลูก รวมทั้งอธิบายข้อดี ข้อเสียที่จะเกิดขึ้นโดยดูที่ความจำเป็นของลูกเป็นหลัก และต้องไม่ลืมว่าเด็กก็คือเด็ก ที่ยังต้องการเวลาเล่นสนุกบ้าง ไม่ใช่ยัดเยียดแต่การเรียนให้ลูกเพียงอย่างเดียว ฉะนั้นก่อนส่งลูกเรียนซัมเมอร์ มีข้อคิดก่อนตัดสินใจมาฝาก
l ถามตัวเองก่อนว่าถ้าให้ลูกอยู่บ้านแล้วทำกิจกรรมร่วมกับลูกได้หรือไม่ ซึ่งจริงๆ แล้วคุณควรหาเวลาที่จะได้ใกล้ชิดกับลูกอย่างเต็มที่ ด้วยการวางแผนลาพักร้อน พร้อมหากิจกรรมทำร่วมกันกับลูก เช่น ออกไปท่องเที่ยว เข้าครัวทำอาหาร เล่นเกมฝึกสมอง ฯลฯ เพื่อช่วยเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ และกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นมากขึ้น
l ลูกควรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจถามลูกก่อนว่า อยากเรียนหรือไม่ถ้า “ใช่” ไม่ว่าจะเป็นเพราะอยากเรียนกับเพื่อนในกลุ่ม ไม่อยากปิดเทอมเหงาอยู่บ้าน ต้องการเตรียมตัวสอบ พิชิตเนื้อหาล่วงหน้าเพื่อเตรียมพร้อมก่อนเปิดเทอม นับเป็นเรื่องดี แต่ถ้าลูก “ไม่อยากเรียน” ก็ลองให้เขาเลือกว่าถ้าเปลี่ยนมาเข้าคอร์สอื่นๆ แทน เช่น เล่นกีฬา ฝึกทำอาหาร จะช่วยให้เขาได้รู้สึกผ่อนคลายและสนุกกับการเรียนรู้มากขึ้น
วิธีการบริหารจัดการลูกช่วงปิดซัมเมอร์
การที่ลูกมีอิสระมากเกินไปในช่วงปิดเทอมอาจทำให้เด็กเคยชินกับการทำอะไรไปเรื่อยๆ อาจปรับตัวไม่ทันในช่วงเปิดเทอมได้ หากไม่มีการเตือนให้รีบกลับมาสู่การเรียนหรือกฎเกณฑ์อย่างแท้จริงอาจเกิดปัญหาตามมาได้ สำหรับวิธีบริหารจัดการลูกคือ
1.กำหนดกิจกรรมที่ต้องทำ พ่อแม่ควรตั้งเป้าหมายดูว่าปิดเทอมนี้จะฝึกลูกในด้านใดบ้าง เช่น เข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลาเดิม ไม่นอนดึกตื่นสาย ตื่นนอนแล้วต้องเก็บที่นอนเอง หรืออาจมอบหมายงานเล็กๆ น้อยๆ เช่น ช่วยรดน้ำต้นไม้ ช่วยทำกับข้าว เป็นต้น เพื่อให้เขาได้รู้จักหน้าที่ของตนและฝึกความรับผิดชอบ
2.ออกแบบตารางกิจกรรมร่วมกัน เมื่อพูดคุยถึงกิจกรรมต้องทำแล้ว ก็ได้เวลาเรียงลำดับการทำกิจกรรมในแต่ละวัน ตามที่ตกลงกัน แต่กิจกรรมที่วางไว้ไม่ควรจะแน่นเกินไป ถ้าถึงเวลาเล่นก็ปล่อยให้เค้าได้อิสระสนุกสนานอย่างเต็มที่
3.เตรียมความพร้อมก่อนเปิดเทอม แม้ในระหว่างปิดเทอมจะเป็นช่วงเวลาของการพักผ่อนแต่พ่อแม่ควรฝึกลูกให้รู้จักเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ สำหรับเทอมต่อไป เพื่อกระตุ้นเตือนให้เขาตระหนักถึงภาระหน้าที่ความรับผิดชอบที่ยังคงต้องมีอย่างต่อเนื่อง
ลูกได้อะไรจากการไปเรียนซัมเมอร์
หากมองในด้านบวกกิจกรรมช่วงปิดเทอม ช่วยเสริมลูกในเรื่องต่างๆ ดีกว่าการอยู่บ้านเฉยๆ แน่นอน ส่วนจะเป็นอะไรบ้างนั้นไปดูกัน
1.ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ การได้ไปเรียนพิเศษไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาการ คอร์สเสริมทักษะด้านต่างๆ เพิ่มเติมจากการเรียนในห้อง ถือเป็นการเสริมพลังเรียนรู้ให้ลูกอย่างถูกทาง หรือเสริมทักษะในด้านที่ขาดเพื่อพัฒนาตัวเองได้เป็นอย่างดี
2.มีประสบการณ์ที่หลากหลายเพิ่มเติมจากในโรงเรียนและที่บ้าน เช่น การเข้าแคมป์เรียนภาษาอังกฤษ ค่ายศึกษาธรรมชาติรักษ์สิ่งแวดล้อม ฯลฯ การเข้าร่วมกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ล้วนแต่ช่วยพัฒนาทักษะความรู้และการวางเป้าหมายตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้อย่างเหมาะสม
3.ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในการพึ่งพาตนเอง ทักษะการเอาตัวรอด และมีพัฒนาการทางอารมณ์รวมถึงความสัมพันธ์กับผู้อื่นในการเข้าสังคม จากการปรับตัวกับเพื่อนใหม่ รวมถึงการฝึกความอดทนและการรู้จักแก้ปัญหาในสังคมที่กว้างขึ้นกว่าการคบเพื่อนแค่ในโรงเรียน
แม้ปิดเทอมคือช่วงเวลาที่เด็กจะได้มีโอกาสพักผ่อน แต่ควรให้เขาได้เรียนรู้ทักษะชีวิต สิ่งแวดล้อมและเก็บเกี่ยวประสบการณ์นอกรั้วโรงเรียน ทำให้เขาเติบโตมาฉลาดรอบด้านอย่างสมวัย มากกว่าใช้ชีวิตวัยเด็กแบบเครียดๆ เพียงเพื่อให้มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น
สำหรับใครต้องการช่วยเหลือเด็กป่วยโรคมะเร็งที่ยากไร้ ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง เลขาธิการกองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลีกรมหมื่นสุทธนารีนาถ ขอเชิญร่วมบริจาคได้ที่ บช.ออมทรัพย์ SCB สาขาอ่อนนุช 133-2-08742-3ใบเสร็จรับเงินสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี