ประตูเมือง
ข้อมูลจากตำนานและประวัติศาสตร์นั้นได้ทำให้หลายคนได้รับรู้ถึงเมืองเก่าที่เกิดขึ้นบนดินแดนสุวรรณภูมิหรือสยามในอดีตมากขึ้น ด้วยภารกิจที่กรมธนารักษ์จะต้องดูแลกำแพง-คูเมืองเก่า หลังจากที่มีการกำหนดเขตโบราณสถานจากการขุดแต่งและศึกษาของสำนักโบราณคดี กรมศิลปากรแล้ว การรับรู้ของคนในพื้นที่จึงมีความสำคัญมากในการสร้างความมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนเพื่อรักษาและต่อยอดให้พื้นที่ราชพัสดุนั้นมีประโยชน์ในอนาคต โดยเฉพาะเมืองเชียงแสนนั้นมีเรื่องราวมากมายและมีโบราณสถานน่าสนใจหลายยุคสมัย เดิมนั้นบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของเมืองโบราณที่เกี่ยวพันระหว่างราชวงศ์พ่อขุนหรือพญาผู้ครองแผ่นดิน ซึ่งจะได้ยินเรื่องเมืองสุวรรณโคมคำ เมืองโยนกนาคพันธ์ เมืองหิรัญนครเงินยาง ปรากฏอยู่ในเอกสารตำนานและประวัติศาสตร์ที่จะต้องสอบค้นกันต่อไป เมืองหลังสุดคือเมืองเงินยาง เดิมมีการเรียกว่า เวียงดอย หรือเวียงรอยเมืองรอยจึงเป็นชื่อเมืองอีกชื่อหนึ่ง ก่อนจะถูกทิ้งร้างเมื่อครั้งพญามังราย เจ้าเมืองเงินยางได้ย้ายเมืองหลวงไปตั้งเมืองใหม่ที่เชียงราย เวียงกุมกาม และเชียงใหม่ตามลำดับนั้น หลังพญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่แล้ว พญามังรายได้ขอให้เจ้าแสนภู หลานของพระองค์ไปบูรณะและครองเมืองเงินยางขึ้นในปี พ.ศ.๑๘๓๐ บางแห่งว่า พ.ศ.๑๘๗๑ เพื่อจะได้ดูแลหัวเมืองทั้งปวงที่อยู่ในบริเวณนี้ นัยว่าเป็นเมืองหน้าด่านต้านการรุกรานของจีนฮ่อ
กำแพงเก่า
ครั้งนั้นได้มีการบูรณะวัดในเมืองเก่าหลายแห่งเช่น วัดพระธาตุจอมกิตติ วัดพระธาตุภูเข้า และวัดพระธาตุดอยรัง เป็นต้น เมืองเงินยางที่พญาแสนภูบูรณะนั้นถูกให้ชื่อว่า “เชียงแสน” ซึ่งหมายถึงเมืองของพญาแสนภู ทำนองเดียวกับการเรียกเมืองของพญามังรายว่า เชียงราย โดยเมืองเชียงแสนนั้นมีฐานะเป็นเมืองอุปราช รองจากเมืองเชียงใหม่ แต่เนื่องจากเป็นเมืองที่สร้างทับลงบนพื้นที่เมืองเก่า จึงมีการเรียกชื่อเมืองรวมไปว่า“เมืองโยนกเชียงแสน” หรือ “เมืองเงินยางเชียงแสน” พญาแสนภูองค์นี้ต่อมาได้กลับไปครองเมืองเชียงใหม่สืบต่อพญาไชยสงคราม
กำแพงเมืองด้านใน
สำหรับร่องรอยของเมืองเชียงแสนนั้นน่าสนใจมากด้วยเป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า ขนานไปกับแม่น้ำโขง ตัวเมืองกว้าง ๗๐๐ หรือยาว ๑,๔๐๐ เมตร ยาว ๑,๕๐๐ วา หรือ ๓,๐๐๐ เมตรมีประตูเมือง ๕ แห่ง คือ ประตูยางเขื่อน ประตูหนองมุนประตูเชียงแสน ประตูท่าม่านและประตูดินขอจากพื้นที่ในเขตปกครอง ๓๒ พันนา เมืองเชียงแสนจึงมีอาณาเขตไม่กว้างนักและเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนา ต่อมาปี พ.ศ.๑๙๕๑ พระเจ้าสามฝั่งแกน กษัตริย์อาณาจักรล้านนาได้โปรดเกล้าฯให้สร้างกำแพงเมืองขึ้นใหม่ด้วยอิฐมีป้อมปราการรวมทั้งขุดขยายคูออกไปให้ตัวเมืองมีความมั่นคงขึ้น ด้วยเมืองเชียงแสนนั้นได้เป็นเมืองสำคัญมีผู้คนมาอาศัยมากขึ้น และเป็นเส้นทางน้ำนำสินค้าเข้ามาทางแม่น้ำโขง จึงทำให้เป็นเป้าหมายของการรุกรานทางชายแดนของอาณาจักรล้านนาอยู่เนืองๆ เมื่อ พ.ศ.๒๑๐๑ อาณาจักรล้านนาทั้งหมดตกอยู่ในความปกครองของพม่า จึงรวมเมืองเชียงแสนไปด้วย ทำให้เมืองเชียงแสนมีผู้นำจากพม่าผลัดเปลี่ยนกันมาครองเมืองจนถึงแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงได้ทรงรวบรวมและพยายามขับไล่อิทธิพลของพม่าให้พ้นจากอาณาจักรล้านนา โดยได้รับความร่วมมือจากเจ้ากาวิละและเจ้าเมืองหลายเมืองของอาณาจักรล้านนา แม้ว่ากำลังพม่าบางส่วนจะยังคงยึดหัวเมืองเชียงแสนไว้ด้วยหลังสุด พ.ศ.๒๓๔๗ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวงเทพหริรักษ์กับพระยายมราชคุมกองทัพไปขับไล่พม่าที่ยึดครองเมืองเชียงแสนได้และได้โปรดเกล้าฯ ให้อพยพราษฎรออกจากเมืองเชียงแสน ให้รื้อกำแพงเมืองและป้อมปราการไม่ให้เป็นประโยชน์แก่ข้าศึกได้อีกต่อไป ราษฎรที่อพยพมาจากเมืองเชียงแสนบางส่วนจึงไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านเสาไห้ จังหวัดสระบุรีและที่บ้านบัวคู จังหวัดราชบุรี บ้าง รวมทั้งกระจายอยู่ในเมืองต่างๆ ของภาคเหนือจนทุกวันนี้
ปัจจุบันอำเภอเชียงแสน มีความเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้นด้วยมีการติดต่อค้าขายกับหัวเมืองต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ ทำให้เมืองเชียงแสนเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีแหล่งประวัติศาสตร์โดยเฉพาะบริเวณแหล่งท่องเที่ยวสามเหลี่ยมทองคำ ที่เป็นแหล่งกำเนิดกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีชุมชนตามลุ่มแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำโขงตามเรื่องน้ำเต้าบุ่งจากพงศาวดารล้านช้าง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี