ที่ผ่านมา ประเทศไทยตรวจพบผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ที่เดินทางมาจากต่างประเทศเป็นระยะๆ สร้างความความกังวลประชาชนไม่น้อย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยกับบทบาทที่สามารถคัดกรองและรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในระลอกแรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุดได้เตรียมพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่สองในประเทศไทยเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ศ.นพ.เทวารักษ์ วีระวัฒกานนท์ หัวหน้าฝ่ายวิสัญญีวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวใน วารสาร ฬ.จุฬา โรงพยาบาลจุฬาฯ กับการเตรียมความพร้อมที่เป็นระบบ และมั่นใจว่าหากเกิดสถานการณ์ขึ้นจริง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จะสามารถประสานความร่วมมือเพื่อฝ่าวิกฤติโรคระบาดนี้ได้อีกครั้งอย่างแน่นอน
ศ.นพ.เทวารักษ์ วีระวัฒกานนท์
ศ.นพ.เทวารักษ์ กล่าวว่า ฝ่ายวิสัญญีวิทยาและบุคลากรทางการแพทย์ฝ่ายต่างๆ ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มีการเตรียมรับมืออย่างเต็มกำลังความสามารถในทุกด้าน ดังต่อไปนี้
l ติดตามข่าวสาร ฝ่ายวิสัญญีวิทยาเตรียมความพร้อมอยู่เสมอด้วยการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับโรคระบาดและโรคอุบัติใหม่อย่างใกล้ชิด หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นก็จะสามารถเตรียมรับมือได้อย่างทันท่วงที
l เตรียมบุคลากร ฝ่ายวิสัญญีวิทยาได้ถอดบทเรียนจากการรับมือโรคระบาดโควิด-19รอบแรกเป็นอย่างดี โดยแบ่งบุคลากรไปปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่ปกติของฝ่ายฯ แต่หากมีการระบาดของโรคเกิดขึ้นก็จะลดกำลังบุคลากรลงครึ่งหนึ่งเพื่อเตรียมอัตรากำลังส่วนนี้ไปสนับสนุนเพื่อรับมือโรคระบาดโควิด-19 รวมถึงการช่วยคัดกรองผู้ที่เสี่ยงติดเชื้อ ซึ่งในการระบาดรอบแรกฝ่ายวิสัญญีวิทยามีการแบ่งทีมงานเป็น 3 ส่วนคือ การดูแลผู้ป่วยที่ต้องรับการผ่าตัด การดูแลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการเตรียมทีมงานสำรองเพื่อรองรับทีมงานหลักที่อาจจำเป็นต้องกักกันตัวหากต้องสงสัยว่ามีความเสี่ยงในการติดเชื้ออีกทั้งยังมีการแบ่งทีมงานเป็น 2 ส่วน ทั้งอาจารย์แพทย์ แพทย์ประจำบ้านวิสัญญีแพทย์ ผู้ช่วยวิสัญญีแพทย์ ที่หากจำเป็นต้องกักตัวกรณีสัมผัสผู้ป่วยที่มีประวัติความเสี่ยงโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ก็ยังมีบุคลากรทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมในการปฏิบัติงานแทนเสมอ
l เตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ ฝ่ายวิสัญญีวิทยาเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น อาทิ เครื่องช่วยหายใจ เครื่องมือรักษาอาการผู้ป่วยวิกฤติ เป็นต้น เพื่อเตรียมพร้อมในการรับมือหากเกิดการระบาดในระลอกสองอย่างไรก็ดี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เชื่อมั่นว่าแนวทางการรับมือโรคโควิด-19 ระลอกสองจะไม่รุนแรงเท่าการระบาดระลอกแรก เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์และทีมงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีประสบการณ์และรู้จักการป้องกันตนเองระดับหนึ่ง
สำหรับบทเรียนที่ได้จากการรับมือการระบาดโรคโควิด-19 ระลอกแรกคือในครั้งก่อนผ้ปู่วยที่มารับการตรวจบางรายไม่แสดงอาการ หรือยังไม่แน่ใจว่าติดเชื้อหรือไม่ (Patient Under Investigation) ซึ่งฝ่ายจุลชีววิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จึงได้พัฒนาการผลิตชุดตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่สามารถทราบผลภายใน 1-2 ชั่วโมง ทำให้แพทย์และบุคลากรที่เกี่ยวข้องสามารถดูแลผู้ป่วยและป้องกันตนเองก่อนการรักษาได้อย่างถูกต้องรัดกุมมากขึ้น
การสื่อสารความรู้และทำความเข้าใจกับบุคลากรทางการแพทย์ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดได้เป็นอย่างดี โดยที่ผ่านมาฝ่ายวิสัญญีวิทยาได้ให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ทุกระดับเกี่ยวกับการป้องกันตนเองอย่างถูกวิธี และหลักการดูแลผู้ป่วยที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้ทุกคนสามารถปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เช่น มีการฝึกเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการสวมและการถอดหน้ากากอนามัยที่ถูกต้องรัดกุม การเว้นระยะห่างที่เหมาะสมการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันที่ได้คุณภาพสามารถกรองฝุ่นและป้องกันเชื้อโรคได้มิดชิด รวมถึงการจำลองสถานการณ์การผ่าตัดโดยใช้หุ่น เสมือนว่ากำลังจะทำการผ่าตัดแก่ผู้ป่วยจริงๆ เพื่อให้ทีมงานคุ้นเคยและสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีขึ้นหากต้องดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในสถานการณ์จริงนอกจากนี้ การถอดบทเรียนการรับมือโรคโควิด-19 ยังครอบคลุมถึงการจัดทีมเพื่อทบทวนข้อปฏิบัติ การเตรียมสถานที่ อุปกรณ์ทางการแพทย์ กระบวนการรักษา เพื่อนำมาปรับกระบวนการรักษาให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาการสื่อสารระหว่างทีมแพทย์ในห้องผ่าตัดและทีมสนับสนุนนอกห้องผ่าตัดเพื่อสามารถรักษาผู้ป่วยได้อย่างสมบูรณ์และรวดเร็วภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ด้วย
สำหรับแนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 หรือผู้ป่วยโรคอุบัติใหม่อื่นๆ ในอนาคตศ.นพ.เทวารักษ์ กล่าวว่า แนวทางจะต้องขึ้นอยู่กับว่าโรคอุบัติใหม่ ดังกล่าวเป็นโรคติดต่อประเภทใด หากเป็นโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสที่ติดต่อผ่านระบบทางเดินหายใจ ใกล้เคียงกับโรคโควิด-19 ก็สามารถใช้แนวทางการดูแลผู้ป่วยเช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ได้ แต่หากโรคอุบัติใหม่มีลักษณะของการติดเชื้อหรือเชื้อโรคที่ต่างกัน แนวทางการป้องกันก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับการรักษาโรคนั้นๆ
ศ.นพ.เทวารักษ์ ให้ความเห็นสรุปในตอนท้ายว่า ที่ผ่านมามนุษย์เราคุ้นเคยกับการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างใกล้ชิด เช่น วัฒนธรรมการทักทายที่มีการจับมือหรือสัมผัสใกล้ชิด ซึ่งเป็นช่องทางให้มนุษย์เสี่ยงกับการติดโรคได้ง่าย หรือการปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดขณะสังสรรค์ในสถานบันเทิง มีการดื่มสุราจากภาชนะเดียวกัน การสูบบุหรี่มวนเดียวกัน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ต้องมีการปรับเปลี่ยนและอาจจะเป็นการปรับพฤติกรรมอย่างถาวร (New Normal) ของมนุษย์ในระยะยาวอีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี