ความปลอดภัยเกี่ยวกับอาหารเป็นสิ่งสำคัญที่ควรใส่ใจในการดูแลสุขภาพโดยเฉพาะในยามที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้ จากการที่มีคนอยู่บ้านมากขึ้นรวมทั้งการทำงานที่บ้าน มีคนเป็นจำนวนมากที่ประสบปัญหาอาหารเป็นพิษจากความเชื่อและมีพฤติกรรมผิดๆ ข้อมูลจาก อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพ (สหรัฐอเมริกา) กรรมการบริหาร มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ เปิดเผยว่า The Academyof Nutrition and Dietetics ให้คำแนะนำเรื่องข้อปฏิบัติเรื่องความปลอดภัยของอาหารที่คนส่วนใหญ่มักจะมีพฤติกรรมผิดประจำ ซึ่งควรแก้ไขหรือหลีกเลี่ยงดังนี้
l คนส่วนใหญ่มักจะใช้การชิมอาหารเป็นการทดสอบว่าอาหารเสียหรือไม่ ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติที่ผิดๆ
l ไม่ควรใช้การชิมเพื่อตัดสินว่าอาหารยังดีอยู่หรือไม่ เพราะแบคทีเรียที่ทำให้อาหารเริ่มเสียอาจยังไม่เปลี่ยนรส สี หรือกลิ่นของอาหาร การชิมเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะอาหารเป็นพิษได้ควรจะทิ้งไปเสียไม่ต้องเสียดาย ดีกว่าจะปล่อยให้แบคทีเรียเจริญในระบบย่อยเรา
l ปลอดภัยที่จะเก็บอาหารสุกหรืออาหารพร้อมรับประทานในภาชนะเดียวกับเนื้อสัตว์ดิบ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะจะทำให้เกิดการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียในเนื้อสัตว์ดิบ ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ ดังนั้นควรแยกภาชนะในการเก็บเนื้อสัตว์ นอกจากนี้ควรแยกเขียง หรือมีด หรือเครื่องมือที่ใช้กับเนื้อสัตว์ดิบ ไม่ควรนำไปใช้กับอาหารที่ปรุงสุกแล้ว
l ละลายอาหารแช่แข็งบนเคาน์เตอร์ครัว หรือทิ้งไว้ให้ละลายในครัว เป็นสิ่งที่เรามักจะเห็นกันอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเด็ดขาด เพราะเชื้อโรคที่มากับอาหารจะเจริญอย่างรวดเร็ว เมื่ออุณหภูมิอยู่ระหว่าง 4.4°- 60° เซลเซียส ควรละลายอาหารแช่แข็งในช่องธรรมดาของตู้เย็น หรือใส่ถุงพลาสติกแช่ในน้ำเย็น หรือละลายในไมโครเวฟ
l ล้างเนื้อสัตว์หรือสัตว์ปีกก่อนปรุงอาหาร ไม่ควรล้างเนื้อสัตว์ดิบ หรือสัตว์ปีกก่อนปรุง เพราะน้ำที่ล้างจะกระจายเชื้อแบคทีเรียในอ่างที่ล้าง หรือบริเวณใกล้เคียงที่วางอาหาร ทำให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียได้ ให้ล้างเฉพาะผักและผลไม้สด
l ตั้งอาหารทิ้งไว้ให้เย็นก่อนแช่ตู้เย็น เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ไม่ควรตั้งอาหารทิ้งไว้นอกตู้เย็นเกินกว่า1-2 ชั่วโมง หากอุณหภูมิสูงเกิน 32° เซลเซียส เชื้อโรคจะเจริญได้รวดเร็ว เมื่ออาหารที่เสียง่ายถูกตั้งไว้ในอุณหภูมิที่เชื้อโรคชอบ (4.4°-60° เซลเซียส) ควรรีบเก็บเข้าตู้เย็นเสมอ เวลาที่ซื้ออาหาร หากจะต้องเดินทางกลับบ้าน หรือไปปิกนิกก็ตาม ควรจะมีถังคูลเลอร์และน้ำแข็งแช่อาหารเหล่านั้น มิฉะนั้นอาหารจะเสียได้ก่อนถึงเวลากิน
l ไม่ควรกินอาหารที่มีส่วนผสมไข่ดิบ เช่น แป้งคุกกี้เพราะไข่จะมีเชื้อซัลโมเนลล่า ซึ่งทำให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ควรปรุงไข่ให้สุก แม้แต่แป้งเบเกอรี่ก็ไม่ควรชิมดิบเพราะอาจมีเชื้ออีโคไลทำให้ป่วยได้
l ระวังอย่าให้เนื้อสัตว์ หรืออาหารทะเลที่หมักไว้สัมผัสกับอาหารปรุงสุกแล้ว เพราะจะทำให้อาหารที่สุกแล้วเกิดการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ หรือไม่ควรหมักและทิ้งไว้บนเคาน์เตอร์ในครัว เพราะเชื้อโรคในอาหารจะเจริญอย่างรวดเร็วในโซนอุณหภูมิอันตราย (4.4°-60°)ควรเก็บอาหารที่หมักไว้รอการปรุงในตู้เย็น น้ำหมักที่เหลือหากจะนำมาใช้อีกควรต้มให้เดือดก่อนนำมาใช้หมักกับเนื้อสัตว์อื่นๆ
l เนื้อสัตว์ทุกชนิดและไข่ครึ่งสุกครึ่งดิบไม่ปลอดภัยในการบริโภค อาหารปรุงสุกปลอดภัยเสมอ เมื่ออุณหภูมิใจกลางเนื้อสัตว์สูงพอที่จะฆ่าเชื้อโรคที่อันตราย อาจใช้เทอร์โมมิเตอร์ในการตัดสินว่าอาหารสุกจริง ไม่ใช่เพียงการดูสี หรือดมกลิ่น หรือใช้การชิมเป็นการตัดสิน
l เชื้อโรคและแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคมีอยู่ทุกที่รวมทั้งที่มือของเรา จึงควรล้างมือเสมอเมื่อปรุงอาหาร โดยล้างมืออย่างน้อย 20 วินาที ด้วยสบู่และน้ำอุ่นให้น้ำไหลผ่านมือขณะล้าง ทั้งก่อนและหลังปรุงหารทุกครั้ง
l ฟองน้ำ หรือผ้าขี้ริ้ว เป็นอุปกรณ์ที่สกปรกที่สุดในครัว เพราะเป็นแหล่งสะสมเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคและมีความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพ ควรจะล้างฟองน้ำและผ้าขี้ริ้วด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทุกวันและใช้ไม่เกิน 1-2 สัปดาห์
ปัจจุบันอาหารออร์แกนิคได้รับความนิยมในวงการโภชนาการและอาหารสุขภาพอย่างมาก สิ่งที่ผู้บริโภคมักกังวลคือการใช้ยาฆ่าแมลงในพืชที่ใช้กันทั่วไปซึ่งอาจทำให้เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งโดยเฉพาะเกษตรกร อาหารออร์แกนิคในบ้านเราอาจจะมียาฆ่าแมลงตกค้างน้อยกว่าอาหารที่กินตามปกติ สำหรับการศึกษาเพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคอาหารออร์แกนิคกับความเสี่ยงโรคมะเร็งยังมีน้อย
งานวิจัยน่าสนใจที่ลงในวารสาร JAMA Internal Medicine (October 2018) รายงานถึงงานวิจัยNutriNet-Sante ในประเทศฝรั่งเศสแบบ web-based prospective cohort study ซึ่งเริ่มในปี 2009 และติดตามต่อเป็นเวลา 7 ปี เมื่อดูความสัมพันธ์ระหว่างโภชนาการและสุขภาพโดยการตอบคำถามออนไลน์เพื่อติดตามแบบแผนการกิน พฤติกรรมทางไลฟ์สไตล์และประวัติสุขภาพของอาสาสมัครชายหญิง 70,000 คน 3 ใน 4 เป็นผู้หญิง อายุเฉลี่ย 40 ปี โดยที่อาสาสมัครตอบคำถามเกี่ยวกับอาหารที่บริโภค การออกกำลังกายมากน้อยเพียงใด สูบบุหรี่หรือไม่ อายุ ระดับการศึกษา และในแต่ละปีอาสาสมัครจะต้องรายงานสภาวะของสุขภาพ รวมถึงการวินิจฉัยโรคมะเร็งด้วย
ในระหว่างการติดตามงานวิจัย 7 ปี อาสาสมัคร 1,340 คน เป็นมะเร็งโดยมีมะเร็งเต้านม 459 คน มะเร็งต่อมลูกหมาก 180 คน มะเร็งผิวหนัง 135 คน มะเร็งลำไส้ 99 คน มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด
Non-Hodgkin 47 คนและอีก 15 คน เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดอื่น นักวิจัยได้แบ่งอาสาสมัครออกเป็น 4 กลุ่ม โดยขึ้นกับความบ่อยในการบริโภคอาหารออร์แกนิคจาก “การบริโภคเกือบทุกครั้ง ถึงไม่เคยบริโภคเลย” และเปรียบเทียบอัตราการเกิดมะเร็งในอาสาสมัคร 4 กลุ่ม
นักวิจัยพบว่า อาสาสมัครที่บริโภคอาหารออร์แกนิคบ่อยๆ มีแนวโน้มการเกิดมะเร็งลดลงร้อยละ 75 โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมในหญิงวัยหมดประจำเดือน มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดอื่นๆ รวมทั้งชนิด Non- Hodgkin นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ที่บริโภคอาหารออร์แกนิคเป็นผู้ที่บริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพที่ประกอบไปด้วยใยอาหาร ถั่วต่างๆ ผัก ผลไม้ ซึ่งมีฤทธิ์ในการป้องกันมะเร็ง อย่างไรก็ตาม นักวิจัยแนะว่า ยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมก่อนที่จะใช้เป็นข้อแนะนำให้ประชากรทั่วไปบริโภคอาหารออร์แกนิคเพื่อป้องกันมะเร็ง
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี