พระอุโบสถ์หลังเดิม
จากการสำรวจขุดตรวจทางโบราณคดี บนพื้นที่ของเวียงแก้ว ของกรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๗ จ.เชียงใหม่ ที่กำลังดำเนินการอยู่นั้น ได้ทำให้เกิดกระแสความสนใจใคร่รู้เรื่องราวของอาณาจักรล้านนาและพญามังรายเพื่อเชื่อมโยงข้อเท็จจริงถึงเวียงแก้วมากขึ้น ร่องรอยของภูมิบ้านภูมิเมืองนั้นคงไม่พ้นวัดสำคัญที่ยังมีโบราณสถานและหลักฐานสำคัญอยู่ โดยเฉพาะวัดเชียงมั่น ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนราชภาคินัย ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ นั้นแต่เดิมว่าเป็นพระราชวังหรือคุ้มหลวงที่ประทับของพญามังราย ปฐมกษัตริย์แห่งล้านนาไทย เมื่อปี พ.ศ.๑๘๓๙ ก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้น ครั้งนั้นพระองค์ได้นำรี้พลโยธา เข้ามาตั้งที่บริเวณของวัดนี้ เรียกกันต่อมาว่า “เวียงเหล็ก” โดยหมายให้เป็นความแข็งแรงมั่นคงประดุจเหล็ก คตินามก็คงไม่ต่างกับ เวียงเหล็กหรือเวียงเล็กของพระเจ้าอู่ทองสร้างอยุธยาหลังจากนั้นพญามังรายจึงได้สร้างเมืองเชียงใหม่เสร็จแล้ว จึงได้สร้างวัดขึ้นตรงบริเวณคุ้มหลวงให้เป็น พระอารามหลวงแห่งแรก และทรงสร้างพระเจดีย์ตรงบริเวณที่เป็นหอคำที่ประทับของพระองค์ ขนานนามวัดนี้ว่า วัดเชียงมั่น ซึ่งในบริเวณวัดนี้มีวิหาร พระอุโบสถซึ่งภายในมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่หลายองค์ สิ่งสำคัญของสถานที่นี้ คือ ศิลาจารึก ที่เรียกกันว่า “จารึกวัดเชียงมั่น”จารึกนี้ได้กล่าวถึง พญามังราย ทรงโปรดให้สร้างเจดีย์ขึ้นในที่ประทับและสถาปนาเป็นวัด เรียกว่าวัดเชียงมั่น ต่อมาในสมัยพญาติโลกราช ทรงโปรดให้สร้างเจดีย์ขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๐๑๔ ความในพงศาวดารโยนกได้กล่าวถึงพญามังรายได้เสด็จจากเวียงเชียงมั่นหรือเวียงเหล็กเข้าไปประทับในพระราชวังที่สร้างขึ้นใหม่ และในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ กล่าวว่าพญามังรายได้ตั้งเวียงในชัยภูมิที่เรียกว่าเชียงมั่น จากหลักฐานศิลาจารึกที่ ๗๖ ศิลาจารึกวัดเชียงมั่น พ.ศ.๑๗๓๙ได้กล่าวถึงวัดเชียงมั่น ว่าพญามังรายได้ทรงสร้างที่ประทับชั่วคราวเพื่อควบคุมการสร้างเมืองเมื่อแล้วเสร็จได้ทรงโปรดให้ก่อเจดีย์ตรงที่หอนอนบ้านเชียงมั่น ให้ชื่อว่าวัดเชียงมั่นนับเป็นพระอารามหลวงแห่งแรกของเมืองเชียงใหม่ต่อมา พ.ศ.๒๐๑๔ ในรัชสมัยพญาโลกติการาชทรงโปรดให้สร้างเจดีย์ด้วยศิลาแลง
คณะเผยแพร่ฯกรมศิลปากร
ต่อมาได้ ๘๗ ปี พม่าได้เข้ายึดครองเมืองเชียงใหม่ เจ้าฟ้ามังทรา (สมเด็จพระมหาธัมมิกะราชาธิราช) ทรงโปรดให้พระยาแสนหลวงสร้างเจดีย์วิหาร อุโบสถ หอไตร ธัมมสนาสนะ กำแพงประตูโขงขึ้นและจารึกปี พ.ศ.๒๑๒๔ ตรงกับสมัยอยุธยา นั้นมีเนื้อหาว่า พ.ศ.๒๒๗๒ พระญาหลวงเจ้ามังคละสะแพก เจ้าเมืองเชียงแสน และบุษบาสิริวธนเทพาราชกัญญาเจ้า มีศรัทธาหล่อพระพุทธรูปองค์นี้ไว้ที่วัดศรีสองเมือง ซึ่งสร้างขึ้นคลุมสุสานเจ้าราชบุตรยอดงำเมือง และได้มีการกำหนดอายุจากศักราชท้ายสุดปรากฏในจารึกคือ “อดีตวรพุทธศาสนาคลาล่วงแล้ว ๒,๒๗๒ พระวัสสา คือ พ.ศ.๒๒๗๒ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ราชวงศ์นยองยานของพม่าเข้ามาปกครองเมืองนี้...ก็เห็นจะต้องค้นกันต่อจากภูมิเมืองที่วัดเชียงมั่นว่าพญามังรายยกคุ้มหลวงสร้างวัดเชียงมั่นแล้วได้ไปประทับในพระราชวังที่สร้างขึ้นใหม่...ส่วนจะตรงไหนหรือบริเวณเวียงแก้วที่ขุดค้นกันนี้...ไม่มีหลักฐานซึ่งเวียงแก้วเดิมนั้นเคยมีชื่อเรียกว่า เวียงหน้าคุ้มแก้ว นั้นจะเป็นอะไรสมัยใด...คงสนุกกับการสืบค้นต่อ สำหรับปัจจุบันนี้วัดเชียงมั่นแห่งนี้มีพระพุทธรูปสำคัญ ๒ องค์ คือ พระแก้วขาว(พระเสตังคมณี) และ พระศิลาปางทรมานช้างนาฬาคีรีประดิษฐานในวิหารในมณฑปที่สร้างเลียนแบบมณฑปสมัยพระเมืองแก้ว จึงเป็นวัดที่ได้รับการนับถือในสมัย
ซึ่งก่อนนั้นวัดนี้เคยถูกทิ้งร้างในช่วงที่พม่าได้เข้ามาปกครอง จนกระทั่งถึงสมัยของ พญากาวิละ พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๖๗จึงได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดนี้ขึ้นใหม่โดยมีเจ้านายฝ่ายเหนือทำนุบำรุงต่อมาทุกสมัยจนถึงสมัยพระเจ้าอินทวโรรส ซึ่งมีศรัทธาเลื่อมใสในธรรมยุติกนิกาย จึงได้เชิญพระภิกษุสงฆ์ธรรมยุติกนิกายจากวัดบรมนิวาสมาจำพรรษาที่วัดนี้เป็นแห่งแรกของเมืองเชียงใหม่ ต่อมาจึงได้ขยายธรรมยุติกนิกายไปยังวัดเจดีย์หลวง สำหรับโบราณสถานในวัดนี้ทั้งวิหาร พระอุโบสถ หอไตร เจดีย์นั้นได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์กันใหม่แต่ พ.ศ. ๒๓๒๕ ที่เหลือร่องรอยก็จารึกวัดเชียงมั่น หากอยู่วัดนี้มาแต่เดิมก็ดี หากเป็นจารึกที่ถูกนำมาจากที่อื่นก็ต้องตามหากันต่อ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี