วงเวียน ๒๒ กรกฎาคม
วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ที่ผ่านมา เป็นวันสำคัญ ที่คนไทยรำลึกถึงทหารอาสาสงคราม อาทิตย์นี้ได้ตามรอยสยามถึงเหตุการณ์การประกาศสงครามของสยามในสงครามโลกครั้งที่ ๑ และพระปรีชาญาณ อันกว้างไกลในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ที่ทรงตัดสินพระทัยนำประเทศไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๑ ในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๐ แม้ว่าฝรั่งเศสและรัสเซียจะรู้สึกเป็นเกียรติที่สยามเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรก็ตาม อังกฤษนั้นยังมีท่าทีคัดค้านด้วยคำนึงถึงประโยชน์ทางการค้าอยู่เหมือนกับว่า “ไม่รู้ไม่ชี้จะทำสงครามกับเยอรมันก็ทำไปตามลำพัง” ขณะนั้นพระองค์มีแนวพระราชดำริต่อการรักษาความเป็นกลางของสยามอยู่ที่ฝ่ายทูตเยอรมันและออสเตรียยังกังวลว่าจะทรงละทิ้งความเป็นกลางเสีย ด้วยมีเหตุจากการที่สยามช่วยจับพวกอินเดียที่คิดขบถ
รวมทั้งยังพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ช่วยภรรยาและบุตรของทหารในกรมทหารราบเบาเดอรัม
ข่าวหนังสือพิมพ์
ซึ่งต่อมานั้นสมเด็จพระเจ้ายอร์ชที่ ๕ แห่งอังกฤษได้มีพระราชโทรเลขมาอัญเชิญให้ทรงรับยศเป็นนายพลเอกพิเศษแห่งกองทัพบกอังกฤษและพระองค์ก็ทรงเชิญสมเด็จพระเจ้ายอร์ชที่ ๕ทรงเป็นนายพลเอกของกองทัพบกสยามเช่นกันนับเป็นครั้งแรกของการรับเกียรติของนายพลเอกจากสองประเทศ การดำเนินพระบรมราชวิเทโศบายต่อไปจึงล่อแหลมต่อความเป็นกลางของสยามที่ทำให้พระองค์ทรงระมัดระวังโดยทรงหารือกระทรวงการต่างประเทศก่อนทุกครั้ง โดยไม่หวั่นไหวพระราชหฤทัยไปตามที่ทูตสองประเทศมีความกังวล แต่ที่ทรงพระปริวิตกมากนั้นทรงเห็นว่า “ฐานะแท้จริงของกรุงสยามนั้น เป็นอยู่อย่างไร อาณาเขตของเราตกอยู่ในท่ามกลางระหว่างแดนของอังกฤษและฝรั่งเศส เพราะฉนั้น ถ้าแม้เราแสดงความลำเอียงเข้าข้างเยอรมันแม้แต่น้อย เพื่อนบ้านผู้มีอำนาจ ก็คงจะได้ชนเอาหัวแบนเมื่อนั้น การที่อังกฤษ ฝรั่งเศส เขายอมให้กรุงสยามคงเป็นกลางอยู่นั้น ก็เพราะเขายังไม่เห็นความจำเป็นที่จะให้เราเข้ากับเขาเท่านั้น และถ้าเมื่อใดเขารู้สึกว่าความเป็นกลางของเราเป็นเครื่องกีดขวางแก่เขาแล้วไม่ต้องสงสัยเลยเขาคงจะไม่ยอมให้เราคงเป็นกลางอยู่เป็นแน่แท้” ในที่ประชุมเสนาบดีสภาขณะนั้น ทรงตระหนักแน่แล้วว่ากลุ่มมหาอำนาจกลางนำโดยเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีหมดหนทางที่จะเอาชนะในมหาสงครามครั้งนี้แล้วและถ้าสยามยังคงเป็นกลางต่อไปก็คงจะมีแต่เสมอตัว กับ ขาดทุน เพราะถ้าอังกฤษและฝรั่งเศสใจดีก็เสมอตัว เมื่อฝรั่งเศสจะขอให้สยามไล่ชาวเยอรมันที่ทำราชการออกทั้งหมด และให้สยามทำสัญญาการค้าใหม่ให้เขาได้เปรียบเยอรมนีซึ่งเป็นเหตุให้สยามต้องวิวาทกับเยอรมนีโดยไม่มีใครมาช่วยแต่ถ้าเราเข้าข้างสัมพันธมิตรเสียแล้ว ก็มีแต่ ทางได้ กับ เสมอตัว เพราะเมื่อสงครามสงบลงแล้วสยามสามารถใช้ประโยชน์จากการเป็นชาติที่ชนะสงครามเข้าเจรจากับนานาชาติเพื่อแก้ไขสนธิสัญญาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ทั้งเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและแก้พิกัดภาษีศุลกากรได้ จึงทำให้พระองค์ทรงตัดสินพระราชหฤทัยประกาศสงครามต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง และเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรโดยส่งกองทหารอาสาสงครามโลกไปร่วมรบณ สมรภูมิทวีปยุโรป ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ สิ้นสุดลงในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๖๑ ฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งหมายรวมถึงประเทศสยาม ได้รับชัยชนะจึงทำให้สยามได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ และการทหาร รวมทั้งสามารถเรียกร้องแก้ไขและยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ของชาติมหาอำนาจที่เคยทำไว้กับสยามได้ในที่สุด แม้จะมีช่วงเวลายาวมาถึงรัชกาลที่ ๗ ก็ตาม
ส่วนอนุสรณ์สถานของเหตุการณ์นี้คือ วงเวียน ๒๒ กรกฎาคม พร้อมด้วยถนน ๓ สายณ บริเวณที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ในตำบลหัวลำโพงต่อมารัชกาลที่ ๗ พระราชทานนามถนนใหม่ ๓ สายนั้นว่า “ถนนไมตรีจิตต์” “ถนนมิตรพันธ์” และ “ถนนสันติภาพ” และมีการสร้างอนุสาวรีย์ทหารอาสา (สงครามโลกครั้งที่ ๑) ไว้ที่มุมสนามหลวง ให้เป็นเครื่องแสดงถึงพระราชหฤทัยความรักชาติและนำประเทศหลุดพ้นจากการเสียเปรียบประเทศมหาอำนาจทั้งปวง ด้วยทหารอาสาสงครามนำโดยพลตรีพระยาพิชัยชาญฤทธิ์ (ผาด เทพหัสดินฯ)ผน.กองกำลังฯ และ จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถเสนาธิการกองทัพบก บุคคลที่คนไทยทุกคนต้องจดจำตลอดไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี