ศิลปกรรมอาคารฝรั่งเศส
การตามรอยสยามไปกับเส้นทางสายเกลือสินเธาว์จากลุ่มแม่น้ำสงครามที่ จ.บึงกาฬ นั้น คณะของกระทรวงวัฒนธรรมโดย คุณยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงต่างประเทศ โดย คุณธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ ได้ร่วมกันสำรวจเส้นทางและพบว่ามีชุมชนเก่าที่มีความสำคัญอยู่หลายแห่งที่ผูกพันกับการค้าและใช้เกลือสินเธาว์โดยเฉพาะบริเวณหนองหารนั้นมี บ้านท่าแร่ จ.สกลนคร ซึ่งเป็นชุมชนคาทอลิกเก่าแก่ที่มีอายุกว่า ๑๐๐ ปี และเป็นที่ตั้งของ อัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ ๔ จังหวัด คือ สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ และ มุกดาหาร นับเป็นพื้นที่ที่มีคนนับถือศาสนาคริสต์มากที่สุดในประเทศไทย
ดาวนี้ทำทุกบ้าน
การตั้งชุมชนครั้งแรกที่บ้านท่าแร่นั้นได้อพยพมาจากที่เดิมในเมืองสกลนคร ซึ่งมีทั้งชาวญวนคริสตัง และชาวไทญ้อ ด้วยเหตุที่ผู้นับถือศาสนาคริสตังนั้นมีการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาที่แตกต่างกัน เช่น การทำพิธีมิสซา การรับศีลล้างบาป โดยมีบาทหลวงเป็นผู้ประกอบพิธีจึงมีอุปสรรคนานาประการ จนเมื่อ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๔๒๔ บาทหลวงเกโก และ ครูทัน ชาวญวนและคณะจากกรุงเทพฯ ได้เยี่ยมเยียนชาวคริสตัง ตามเมืองต่างๆ เช่น โคราช ชนบท ขอนแก่น กาฬสินธุ์ กมลาไสย ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี สกลนครและนครพนม คณะบาทหลวงได้รับทราบปัญหาจึงได้ย้ายกลุ่มชาวญวนและสถานที่เผยแพร่ศาสนาไปอยู่แห่งใหม่ โดยต่อแพไม้ไผ่ขนาดใหญ่บรรทุกผู้คนและเครื่องใช้ที่จำเป็นขึ้นแพไม้ไผ่ อธิษฐานเทวดา มิดาแอล ให้พบแผ่นดินที่เหมาะสมกับการเผยแพร่คริสต์ศาสนา กระแสลมได้พัดใบเรือทำด้วยผ้าห่มกั้นลมไปถึงชายฝั่งหนองหาร พื้นดินส่วนใหญ่เต็มไปด้วยดินแลงที่เรียกว่า “หินแฮ่” (ดินแลงถูกลมจะแข็งตัวเหมือนแร่) จึงได้ตั้งชุมชนใหม่ขึ้นและเรียกว่า “ท่าแร่” ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๒๗ ผู้คนที่อพยพมาอยู่บ้านท่าแร่รุ่นแรกมีจำนวน ๒๐ ครอบครัว ๑๕๐ คน มีทั้งชาวญวน คริสตัง ชาวไทญ้อสกลนคร และในเวลาต่อมาได้มีชาวผู้ไทยจากที่ต่างๆ อพยพเข้ามาอยู่ในชุมชนแห่งนี้ด้วย ภายใต้การนำของบาทหลวงยอแซฟ กอมมูริเออ ได้พัฒนาชุมชนให้เป็นตารางยุโรป การสร้างโบสถ์ การสร้างบ้านเรือนลักษณะต่างๆ ตามฐานะ ทำให้ชุมชนแห่งใหม่มีขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ศิลปกรรม แตกต่างไปจากชุมชนอื่นๆ ที่เป็นชาวไทย ลาว และกลุ่มเผ่าพันธุ์ต่างๆ จึงนับว่าชุมชนบ้านท่าแร่มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ
ชาวบ้านท่าแร่
บ้านท่าแร่แห่งนี้ได้สร้างวิถีชุมชนและสร้างสรรค์งานหนึ่งเดียวในโลก คือ ประเพณี“แห่ดาวท่าแร่” ในเทศกาลคริสต์มาส วันที่ ๒๕ ธันวาคม โดยเชื่อกันว่า ดาว เป็นสัญลักษณ์ในการมาประสูติของพระเยซูเจ้าบนโลกมนุษย์ และเป็นสื่อนำให้โหราจารย์ไปพบพระเยซู เพื่อรำลึกถึงพระเยซูเจ้า จึงมีการจัดเทศกาลแห่ดาวจัดนิทรรศการ จัดงานพบปะสังสรรค์ในครอบครัว จนกลายเป็นประเพณีสำคัญและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก จนได้รับการขนานนามว่าเป็นงาน “อลังการดาวบนดิน” ที่ชาวคริสต์และนักท่องเที่ยวได้มาร่วมกันเฉลิมฉลองปีใหม่ในคริสต์ศักราชชมขบวนรถดาวประกอบแสง สี เสียง ตระการตาและการแห่ดาวมือถืออย่างโบราณ ภายใต้บรรยากาศของอาคารโบราณแบบโคโลเนียล ส่วนประวัติการแห่ดาวนั้นเล่ากันว่าน่าจะเริ่มเมื่อคริสต์ศาสนาเข้ามาภาคอีสาน ราวค.ศ.๑๘๘๑ (พ.ศ.๒๔๒๔) โดย คุณพ่อยอห์น บัปติสต์ โปรดม (JeanProdhomme) และ คุณพ่อซาเวียร์เกโก (Xavier Gego) ธรรมทูตรุ่นบุกเบิกคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส ซึ่งท่านได้สอนให้ชาวคริสต์ในหมู่บ้านทำดาวประดับวัดในเทศกาลคริสต์มาส ผสมผสานกับวิถีคนอีสานที่มีความสนุกสนาน จึงทำให้มีการทำดาวประดับวัดนั้นได้ประยุกต์เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น จนกลายเป็นประเพณีการนำดาวมาแห่ไปในชุมชน งานนี้เริ่มในวันที่ ๒๔ ธันวาคมของทุกปีก่อนวันคริสต์มาส ๑ วัน เป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาต่อพระเจ้าของชาวบ้านด้วยเหตุที่มีการจัดผังชุมชนเป็นสี่เหลี่ยมตารางหมากรุกแบบตะวันตก จึงทำให้บ้านท่าแร่แห่งนี้มีเสน่ห์จากศิลปกรรมของอาคารรูปแบบสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสและความเป็นระเบียบของที่อยู่อาศัยอย่างน่าสนใจใคร่เที่ยวไปกันวิถีชุมชน จากอาหารหลากหลายแบบของชาวญวน และชาวคริสตังเช่น ซาลาเปา ขนมเบื้องญวน เป็นต้นนับเป็นชุมชนที่มีความสามัคคีจากผู้ศรัทธาต่อพระเจ้า และวิถีการอยู่ร่วมกันในสังคมไทยเป็นอย่างดีแห่งหนึ่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี