ท่ามวยไชยา
จากการเดินทางตามรอยวัฒนธรรมไปในชุมชนหลายแห่งนั้น ได้พบว่าชุมชนต่างๆ มักมีจุดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว อันเป็นต้นทุนให้เกิดการเที่ยวชุมชนยลวิถีไทยอยู่หลายแห่ง โดยเฉพาะเรื่อง มวยไทย นั้น ไม่มีใครไม่รู้จักมวยประจำถิ่นคือ“มวยไชยา” ซึ่งเป็นมวยไทยที่เกิดขึ้นในอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็คงต้องติดตามหาต้นทางของมวยไชยาตามที่มีคนเล่าต่อกันว่า วัดเก่าในเขตอรัญญิก ชื่อ วัดทุ่งจับช้าง นั้นเดิมเป็นวัดที่ปล่อยรกร้างอยู่ในป่าใกล้ทางเดิน (ทางด่าน) ที่ไปอำเภอไชยาต่อมามีพระมาอยู่เป็นสมภาร ที่ชาวบ้านเรียกว่า“พ่อท่านมา” เป็นชาวกรุงเทพฯ หลบหนีมาบวชเป็นพระภิกษุแบบไม่มีใครรู้ว่าเป็นใครมาอย่างไร ด้วยเหตุอะไร เมื่ออยู่แล้วท่านได้ฝึกสอนมวยไทยให้ชาวไชยาไปชกจนร่ำลือว่า ไชยานั้นเป็นเมืองนักมวย ผู้ได้รับการถ่ายทอดวิชามวยมีหลายคน แต่คนที่สืบทอดวิชามวย ต่อมาจนทำให้มวยเมืองไชยาเป็นที่รู้จักมากที่สุดในสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น คือ พระยาวจีสัตยารักษ์ (ขำศรียาภัย) นายอำเภอไชยา ดังนั้น คนในตระกูลศรียาภัยจึงสืบวิชามวยไชยาต่อมาจนถึง ปรมาจารย์เขตรศรียาภัย ซึ่งเป็นผู้อธิบายว่า “ท่าย่างสามขุม” ของหลวงวิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร) อาจารย์โรงเรียนสวนกุหลาบฯ พ.ศ.๒๔๖๔ ซึ่งเป็นศิษย์เอกของปรมาจารย์พระไชยโชคชกชนะ (อ้น) เจ้ากรมทนายเลือกครูมวยและครูกระบี่กระบองผู้มีชื่อเสียงในสมัยรัชกาลที่ ๕ และปรมาจารย์ ขุนยี่สานสรรพยากร(ครูแสงดาบ) ครูมวย ครูกระบี่กระบอง ที่มีชื่อในสมัยรัชกาลที่ ๖ นั้น มีท่ากระชับรัดกุมตรงตามแบบ ท่าย่างสามขุมของพ่อท่านมา ครูมวยแห่งเมืองไชยา จึงเป็นไปได้ว่ามวยไชยานั้นสืบวิชามวยไทยแบบโบราณไว้
ครูมวยและผู้ส่งเสริมมวยไชยา
ในเมื่อมวยไชยามีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วจนกลายเป็นกีฬาสำคัญแล้ว พระยาวจีสัตยารักษ์ จึงสร้าง ศาลาเก้าห้อง ขึ้นที่ตำบลพุมเรียง ให้เป็นศาลาสาธารณะตั้งขนานกับทางเดิน (ทางด่าน) มีเสาไม้๓๐ ต้น เสาด้านหน้าเป็นเหลี่ยม แถวกลางและแถวหลังเป็นเสากลม ระหว่างเสาสองแถวหลังยกเป็นพื้นปูกระดานสูงจากพื้นประมาณ ๑ เมตร ส่วนระหว่างแถวหน้ากับแถวกลางเป็นพื้นดิน ยาวจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ยาวประมาณ ๑๓ วา ๒ ศอกส่วนกว้างประมาณ ๓ วา หลังคามุงสังกะสี มีบ่อน้ำทางทิศตะวันตก ๑ แห่ง ปัจจุบันรื้อศาลาแล้วเหลือบ่อน้ำ และสร้างศาลาใหม่ขึ้นด้านตะวันออกของศาลาเดิม ศาลาเก้าห้องนี้ใช้เป็นที่พักคนเดินทางและใช้จัดงานสมโภชพระพุทธรูปในงานแห่พระพุทธทางบกเดือน ๑๑ ซึ่งงานนี้ต้องมีการชกมวยเป็นการสมโภชเป็นประจำทุกปีด้วย งานนี้จะมีนักมวยจากที่ต่างๆ เดินทางเพื่อจับคู่ชกมวยกันแล้วแต่สมัครใจชกกันของคู่ต่อสู้ต่อหน้าพระยาไชยาเจ้าเมือง มวยไชยาจึงถือว่าเป็นมวยไทยแท้เพื่อการต่อสู้ด้วย “ทุ่ม ทับ จับ หัก” ซึ่งเป็นมวยคาดเชือกหรือกลมวยชั้นสูง ที่ผู้ฝึกจะต้องเรียนรู้พื้นฐาน การบริหารร่างกายเพื่อพาหุยุทธ์พร้อมฝึกฝนท่าย่างสามขุมตามแบบของแต่ละครู เรียก“ท่าครู” รวมทั้งแม่ไม้ต่างๆ เช่น การออกอาวุธ ป้องปัดปิดเปิด ป้องกัน ตอบโต้ให้เชี่ยวชาญดีแล้ว จึงจะสามารถแตกแม่ไม้กล ลูกไม้ กลรับ กลรุก ล่อหลอกหลบหลีก ทั้งยังต้องฝึกซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ใช้ออกไปจึงจะเกิดความคม เด็ดขาด รุนแรง ท่วงท่าลีลางดงามเข้มแข็งดังใจ โดยเฉพาะท่าครูมวยไชยา หรือท่าย่างสามขุมคลุมแดนยักษ์นั้นถือเป็นท่ามวยที่มีความรัดกุมเฉียบคมเอาชนะศัตรูได้ ในการแข่งมวยหน้าพระที่นั่งในรัชกาลที่ ๕ นั้น คราวจัดขึ้นในงาน ณ ทุ่งพระเมรุหน้าป้อมเผด็จดัสกรนั้นนายปล่อง จำนงทอง นักมวยไชยาสามารถใช้ “ท่าเสือลากหาง” โจนเข้าจับ ทุ่มทับจับหักคู่ต่อสู้จนชนะและได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “หมื่นมวยมีชื่อ” ภายหลังการชกมวยที่ศาลาเก้าห้องได้ล้มเลิก เหตุจากการย้ายศาลากลางไปอยู่บ้านดอน สนามมวยจึงจัดขึ้นที่สนามวัดพระบรมธาตุและชกกันในงานประจำปีเดือน ๖ ครั้งแรกชกบนลานดินเหมือนที่ศาลาเก้าห้องต่อมา พ.ศ.๒๔๗๔ พระครูโสภณเจตสิการา (เอี่ยม) ได้สร้างเวทีมวยถาวรขึ้น มีการจัดสนามและเวทีกั้นเชือกแบบปัจจุบันซึ่งถูกรื้อถอนไปเมื่อ ๑๒ตุลาคม ๒๕๒๔ นี้
มวยไชยานั้นแม้จะไม่รุ่งเรืองดังเช่นยุคศาลาเก้าห้องที่มีการตั้งกองมวยสำคัญ๔ กอง คือกองมวยบ้านเวียง กองมวยปากท่อกองมวยบ้านทุ่ง กองมวยพุมเรียง แต่ละกองมีนายกองคุม ๑ คน ก็ตาม งานนี้ ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวรปลัดกระทรวงวัฒนธรรมและคณะได้ขอบคุณครูมวยทุกท่านที่สืบสานมวยไชยาท่าย่างสามขุมและการต่อสู้ท่าไม้ตายไว้ได้ คงไม่ใช่ “รำสวยต้องมวยไชยา” แต่เป็นท่ามวยไชยา..หมัดเดียว..ตาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี