สมาพันธ์อ้วนโลก (World Obesity Federation) องค์กรภาคประชาสังคมระดับสากล ที่ทำงานร่วมกับ องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้วันที่ 4 มีนาคม ของทุกปี เป็นวันอ้วนโลก เพื่อกระตุ้นให้ประชาคมโลกเห็นความสำคัญของการแก้ไขปัญหาโรคอ้วน ซึ่งสำหรับประเทศไทย กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค ร่วมกับ สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงานวันอ้วนโลก ประจำปี 2565 เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2565 ที่ผ่านมา
ศ.พญ.ลัดดา เหมาะสุวรรณ กรรมการบริหารสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์โรคอ้วนในเด็ก จากผลการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรี (MICS) ในปี 2562 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) และองค์การยูนิเซฟ (UNICEF) ประเทศไทย พบเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มีภาวะอ้วนและโรคอ้วนเพิ่มขึ้นจาก
ปี 2561 ร้อยละ 8.8 เพิ่มเป็นร้อยละ 9.2 ในปี 2562 เช่นเดียวกับข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบเด็กอายุ 6-14 ปี มีภาวะอ้วนและโรคอ้วน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 11.7 ในปี 2561 เป็นร้อยละ 12.4 ในปี 2564
โดยในกลุ่มนี้ตั้งเป้าภายในอีก 3 ปี ต้องลดภาวะเด็กอ้วนไม่เกินร้อยละ 10 นอกจากนี้ เด็กอายุ 10-14 ปีที่มีภาวะอ้วนร้อยละ 8 มีความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยโรคอ้วนในเด็กส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางกายในกรณีที่มีน้ำหนักมาก ทำให้ข้อผิดปกติ เช่นขาโก่ง ขากาง การเคลื่อนไหวช้า คุณภาพการนอนไม่ดี เกิดภาวะนอนกรนจนหยุดหายใจ ปัญหาด้านพัฒนาการ ระบบการหายใจ หัวใจ และโรคภัยที่จะตามมาไม่ต่างจากผู้ใหญ่ ซึ่งกลุ่มเด็กที่อ้วน จะมีเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มากกว่าในปกติถึง 4 เท่าตัว
ศ.พญ.ลัดดา เหมาะสุวรรณ
“การแก้ไขปัญหาต้องควบคุมการบริโภคอาหารให้เหมาะสม ลดหวาน มัน เค็ม หมั่นเคลื่อนไหวร่างกาย มีพัฒนาการตามวัย สำหรับอาหารที่แนะนำหากเป็นทารก นมแม่ดีที่สุด เพราะช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานร้อยละ 35 และลดเสี่ยงโรคอ้วนร้อยละ 13 ส่วนเด็กเล็กควรหลีกเลี่ยงการปรุงแต่งรสชาติ ดื่มน้ำสะอาด นมจืด ไม่สอนให้กินน้ำอัดลม และสามารถฝึกกินผักให้เป็นนิสัยโดยเริ่มจากครอบครัวต่อเนื่องไปยังโรงเรียน อาหารจะต้องไม่หวาน มัน เค็มจัด หลีกเลี่ยงผลไม้หวานจัด หรือน้ำอัดลม” ศ.พญ.ลัดดา กล่าว
ศ.พญ.ลัดดา ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันสสส. ตลอดจนหน่วยงานต่างๆ ร่วมกันพัฒนากลไกเครื่องมือในการช่วยพ่อแม่ผู้ปกครอง เช่น เลือกสัญลักษณ์โภชนาการอาหารทางเลือก (Healthier Choice)เครื่องมือใช้ช่วยตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อลดการบริโภคน้ำตาล โซเดียม และไขมัน และแอปพลิเคชั่น Food Choice ตัวช่วยของพ่อแม่ในการดูแลอาหารขนมของเด็ก
ผศ.พญ.ศานิต วิชานศวกุล อาจารย์ประจำหน่วยโภชนศาสตร์ ภาควิชาอายุรศาสตร์โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า อุบัติการณ์โรคอ้วนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 30 หรือมีผู้ป่วยด้วยโรคอ้วนกว่า 20 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด ผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 6 (พ.ศ. 2562-2563) พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีภาวะอ้วน ร้อยละ 42.2 และอ้วนลงพุง ร้อยละ 39.4
โดยคนกรุงเทพฯ มีความชุกของภาวะอ้วนสูงที่สุด ร้อยละ 47 และผู้หญิงในกรุงเทพฯ มีความชุกภาวะอ้วนลงพุงสูงสุดถึงร้อยละ 65.3 นำมาซึ่งความเสี่ยงกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NDCs) ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด และมะเร็งภาพรวมทั้งประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น และมีมูลค่าค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีการแก้ปัญหาในปัจจุบันยังเป็นลักษณะการตั้งรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ว่า อ้วนเป็นโรค หรือต้องรักษา และให้ความสำคัญกับการลดน้ำหนักเพื่อความงาม
ผศ.พญ.ศานิต วิชานศวกุล
ขณะเดียวกัน บุคลากรด้านสาธารณสุขไทยยังไม่ตระหนัก เพราะเห็นว่าประชาชนสามารถลดน้ำหนัก ควบคุมอาหารได้เอง โดยไม่ต้องพบแพทย์ ดังนั้น จึงไม่มีใครมารักษาโรคอ้วน แม้ว่าจะยังไม่เกิดโรค และไม่มีการส่งตัวหรือให้สิทธิในการรักษาพยาบาล ทั้งๆ ที่ถ้าลดน้ำหนักได้ จะลดภาวะแทรกซ้อนได้มากมาย และลดค่าใช้จ่ายมวลในการรักษาเมื่อเกิดโรค ทั้งนี้ อ้วนเป็นโรคที่ป้องกันได้ และควรได้รับการรักษาก่อนจะมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคต่างๆ ไม่เฉพาะคนไข้ ครอบครัว ระบบสาธารณสุขต้องเข้ามา ช่วยเหลือรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะการรักษาต้องใช้เวลานาน
“ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน อยู่ ไม่รับประทานอาหารที่มีพลังงานสูงแต่คุณค่าสารอาหารต่ำ หรืออาหารขยะ เลือกรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง และทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพและเข้าถึงได้ ราคาไม่แพงเกินไป ขณะเดียวกันทุกโรงพยาบาลควรให้ความสำคัญกับโรคอ้วน ให้ความรู้ที่ถูกต้องในการลดน้ำหนัก ไม่หักโหมหรือรับประทานอาหารเสริมโดยไม่มีผลทางคลินิกรองรับซึ่งทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์” ผศ.พญ.ศานิต กล่าว
ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา หัวหน้าศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาโรคอ้วนในเด็กไม่ได้เกิดขึ้นมาจากการส่งต่อทางกรรมพันธุ์อีกต่อไป แต่เกิดจากการส่งต่อของพ่อแม่ในการเลี้ยงดูรวมถึงสิ่งแวดล้อม สถานที่เรียนสังคมที่หล่อหลอม ทำให้เด็กอ้วนมีพฤติกรรมเสี่ยง 3 เรื่อง คือ การกิน การเล่น สุขภาพจิตและการพักผ่อนที่ไม่สมดุล
ซึ่ง 3 ประเด็นนี้ต้องร่วมกันทำงานอย่างบูรณาการเพื่อไม่ให้ปัญหารุนแรงบานปลายเป็นผู้ใหญ่อ้วนที่มีโรครุมเร้า ทุกคนควรให้ความร่วมมือลงมือแก้ไขในทุกระดับ ทั้งภาคการปฏิบัติเชิงนโยบายการวางแผน บุคลากรที่ทำงานเกี่ยวข้องปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ ชุมชน และครอบครัว โดยกลุ่มเด็กอ้วนที่ควรให้ความสำคัญในการแก้ปัญหามากที่สุด คือ เด็กอ้วนในครอบครัวที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ซึ่งผู้ปกครองที่มีความรอบรู้การดูแลสุขภาพน้อย ต้องการความช่วยเหลือมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ถือเป็นความเหลื่อมล้ำที่คนรายได้น้อยเพราะเข้าถึงอาหารสุขภาพได้ยาก
“โรคอ้วนในเด็กทำให้เห็นความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยชัดเจน ขณะเดียวกันการระบาดของไวรัสโควิด-19ยังทำให้สถานการณ์โรคอ้วน ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน การใช้ชีวิตอยู่หน้าจอ การกินโดยไม่รู้ตัว ล้วนทำให้มีความเสี่ยงเกิดโรคอ้วนทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก”ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ กล่าว
ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี