การเตรียมตัวก่อนย้ายตัวอ่อนสู่โพรงมดลูกเพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัวได้ดีและกลายเป็นทารกน้อยในครรภ์ เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญสำหรับสตรีมีบุตรยากที่เข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว ทั้งกระบวนการทำ (IVF) หรือ อิ๊กซี่ (ICSI)เพราะหลังจากผ่านกระบวนการบำรุงเตรียมตัวก่อนเข้าสู่กระบวนการกระตุ้นไข่ เก็บไข่ และลุ้นผลการปฏิสนธิในห้องแล็บ และเลี้ยงไปถึงระยะบลาสโตซิสต์แล้ว สำหรับสตรีที่มีความเสี่ยงทางโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมและมีอายุเกิน 35 ปี ยังต้องลุ้นผลตรวจโครโมโซม ดังนั้นว่าที่คุณแม่คงไม่อยากพลาดขั้นตอนสุดท้าย คือการเตรียมความพร้อมก่อนย้ายตัวอ่อนสู่โพรงมดลูกเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์
ครูก้อย นัชชา ลอยชูศักดิ์ครูวิทยาศาสตร์และผู้ก่อตั้งเพจให้ความรู้เตรียมตั้งครรภ์สำหรับผู้มีบุตรยาก https://www.facebook.com/BabyAndMom.co.th โดย บริษัท เบบี้แอนด์มัม (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลว่า
การเตรียมตัวก่อนย้ายตัวอ่อนสู่โพรงมดลูกมีความสำคัญมาก เพราะเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะเป็นจุดชี้วัดความสำเร็จในการตั้งครรภ์ของผู้มีบุตรยากที่อยู่ในกระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว ผู้หญิงที่มีบุตรยาก ควรให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมก่อนย้ายตัวอ่อน โดยภายหลังที่ได้ตัวอ่อนในระยะบลาสโตซิสต์และคัดโครโมโซมผ่านแล้ว สามารถแช่แข็งตัวอ่อนไว้ได้ไม่ต้องรีบใส่ตัวอ่อน ควรพักอย่างน้อย 1-3 รอบเดือน เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมความพร้อมร่างกายและบำบัดมดลูกให้พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์โดยผนังมดลูกที่สมบูรณ์พร้อมตามเกณฑ์ที่เหมาะสมในการฝังตัวของตัวอ่อนควรมีลักษณะดังนี้ คือ 1.ผนังมดลูกมีความหนา 8-10 มิลลิเมตร เรียง 3 ชั้นสวย (Triple lines) 2.ผนังมดลูกมีผิวเรียบเห็นเส้นกลางชัดเจน ใสเป็นวุ้น มดลูกสะอาด ไม่หนาทึบทับถมด้วยประจำเดือนเก่าที่คั่งค้าง 3. มดลูกอุ่น มีเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอย่างเพียงพอ ไม่มีสารพิษตกค้างซึ่งต้องอาศัยการดูแลสุขภาพ และการบำรุงที่ดี
โดยมีขั้นตอนการเตรียมความพร้อมก่อนย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก ดังนี้
1.ทานโปรตีนให้เพียงพอช่วยสร้างผนังมดลูกให้หนาตามเกณฑ์และแข็งแรง
ผนังมดลูกที่เหมาะกับการฝังตัวของตัวอ่อนควรมีความหนา 8-10 มิลลิเมตร (ไม่ควรหนาเกิน 14 มิลลิเมตร)มีเลือดสูบฉีดนำสารอาหารไปเลี้ยงอย่างเพียงพอซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการฝังตัวของตัวอ่อนได้อย่างสมบูรณ์และลดการใช้ยากระตุ้นในกระบวนการทางการแพทย์ผู้หญิงที่เตรียมวางแผนท้องต้องเน้นทานโปรตีนเพิ่มขึ้นเพื่อบำรุงเซลล์ไข่ให้สมบูรณ์และช่วยสร้างผนังมดลูกให้หนาตัว แข็งแรง คนวางแผนท้องควรเน้นทานโปรตีนจากพืช เพราะปลอดภัยจากสารเร่งเนื้อแดง หรือ ฮอร์โมนแฝงที่มากับเนื้อสัตว์ หากรับประทานมากเกินไปจะรบกวนสมดุลฮอร์โมนเพศ และการฝังตัวของตัวอ่อนโดยควรเน้นทานคาร์บเชิงซ้อนจากธัญพืชเช่นงาดำลูกเดือยแฟล็กซีดเมล็ดฟักทองเป็นต้น
2. ปรับสมดุลฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนด้วยการทานอาหารที่มีวิตามินซี และไบโอฟลาโวนอยด์สูง
มีงานวิจัยจาก The University of Texas ศึกษาพบว่าผู้หญิง 53% ที่ทานอาหารวิตามินซี และไบโอฟลาโวนอยด์สูงจะมีช่วงลูเทียลเฟส (Luteal Phase) ยาว ระยะลูเทียล คือ ระยะเวลาหลังการตกไข่ ที่ร่างกายจะสร้างระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น โดยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะส่งผลให้เยื่อบุมดลูกหนาขึ้น พร้อมรับการฝังตัวของตัวอ่อนหากมีความบกพร่องของระยะนี้หมายความว่า ร่างกายมีระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนน้อยเกินไปทำให้เยื่อบุมดลูกไม่หนาตัวทำให้ช่วงระยะเวลาลูเทียล (Luteal Phase)สั้นส่งผลให้โอกาสในการฝังตัวของตัวอ่อนมีน้อยลง
มีการวิจัยพบว่า “น้ำมะกรูดคั้นสด” มี "วิตามิน C" และ "ไบโอฟลาโวนอยด์" สูงช่วยให้เลือดสูบฉีดไหลเวียนดีและทำเลือดไปเลี้ยงมดลูกได้เพียงพอทำให้มดลูกอุ่นลดการอักเสบติดเชื้อที่มดลูกมีงานวิจัยชี้ว่า ไบโอฟลาโวนอยด์ยังไปเสริมการทำงานของวิตามินซี ที่ช่วยเรื่องการเพิ่มระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญในการตั้งครรภ์ ช่วยยืดระยะลูเทียสเฟส ทำให้ตัวอ่อนฝังตัวได้ดีขึ้น
3.รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานและคงที่
เพื่อรักษาความสมดุลของฮอร์โมนน้ำหนักมากหรือน้อยเกินไปส่งผลระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนทำงานผิดปกติ มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารPanminerva Medica เมื่อปี 2019 ศึกษาพบว่าผู้หญิงที่มีภาวะอ้วนน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานโดยมีค่า BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 25 มีส่วนทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนผิดปกติส่งผลให้มีฮอร์โมนไม่สมดุลไข่ไม่ตกประจำเดือนมาไม่ปกติเซลล์ไข่ด้อยคุณภาพหากใช้กระบวนการทางการแพทย์รักษาจะมีอัตราความสำเร็จต่ำกว่ากลุ่มที่น้ำหนักปกติยิ่งถ้าค่า BMI อยู่ในระดับ 30 ส่งผลต่อการแท้งบุตรมากขึ้นด้วย
ขณะเดียวกันยังพบปัญหาท้องยากในกลุ่มที่ผอมไปหรือลีนเกินไปซึ่งพบในกลุ่มนักกีฬาที่มีเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายต่ำเกินไปเพราะมีกล้ามเนื้อมากกว่าไขมันอย่างไรก็ตามไขมันยังมีประโยชน์กับร่างกายโดยเฉพาะไขมันดีซึ่งเป็นสารตั้งต้นของการสร้างฮอร์โมนเพศโดยนายแพทย์ Robert จากColorado Center for Reproductive Medicineเผยว่าผู้หญิงที่สุขภาพดีนั้นและมีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากกว่าหากมีค่า body fat ไม่ต่ำกว่า 17-19% หรือควรมี body fat อย่างน้อย 22%
4.ดื่มชาดอกคำฝอย ตัวช่วยล้างประจำเดือนเก่าที่คั่งค้าง
ดอกคำฝอยมีสรรพคุณทางยาที่สำคัญคือการขับลิ่มเลือด การดื่มชาดอกคำฝอยจึงช่วยขับประจำเดือนเก่าที่คั่งค้างทับถมในมดลูก “เสมือนเป็นการล้างมดลูกให้สะอาด” ประจำเดือนจะไหลออกมาดีขึ้น สีแดงสะอาด โดยสามารถเริ่มดื่มเมื่อประจำเดือนมาวันแรกต่อเนื่อง 7-10 วัน นอกจากนี้ดอกคำฝอยช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนสตรีทำให้เลือดไหลเวียนดี ประจำเดือนมาปกติ และยังช่วยลดน้ำตาล ลดไขมัน ลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้อีกด้วย
5. ดื่มขิงดำ เพิ่มสภาวะมดลูกอุ่น เลือดไหลเวียนดี
การดื่มน้ำขิงดำเป็นประจำ ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนดี เพิ่มออกซิเจนในเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนนำสารอาหารไปเลี้ยงมดลูกได้อย่างเต็มที่ขิงดำยังมีฤทธิ์อุ่น ช่วยปรับสภาพภาวะในร่างกายที่มีความเย็น ให้ร่างกายอบอุ่น เพิ่มระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี มดลูกอุ่น ติดลูกง่ายขึ้น โดยสามารถดื่มช่วงไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้มีประจำเดือน เพราะขิงทำให้เลือดไหลเวียนดี ทำให้ผ่อนคลายและนอนหลับลึก ช่วยให้นอนหลับที่เพียงพอยังช่วยลดความเครียดได้ด้วย เพราะขิงดำช่วยให้ผ่อนคลาย ลดฮอร์โมนความเครียดคอร์ติซอลซึ่งเป็นฮอร์โมนตัวร้ายที่มีผลต่อการจัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อนขิงดำยังมีฤทธิ์ลดการอักเสบและติดเชื้อในมดลูก ทำให้มดลูกแข็งแรง หากมดลูกอักเสบ ติดเชื้อก็ส่งผลให้ตัวอ่อนไม่ฝังตัวหรือแท้งในระยะเริ่มต้นนั่นเอง นอกจากนี้ยังช่วยลดกลุ่มอาการ PMS หรือกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนที่ฮอร์โมนกำลังแปรปรวน การดื่มขิงดำช่วยทำให้สมดุลฮอร์โมนปกติ ลดอาการตัวบวม ลดอาการปวดท้องประจำเดือน
6.แพคน้ำมันละหุ่งบำบัดมดลูก (Castor Oil Pack) ช่วยดีท็อกซ์มดลูก
การทำ Castor Oil Pack เป็นศาสตร์ทางตะวันตกที่มีการทำกันมาเป็นพันๆ ปีเพื่อบำบัด หรือ ดีท็อกซ์มดลูกรวมถึงอวัยวะภายในทั้งรังไข่ ลำไส้ ตับอ่อนและถุงน้ำดี โดยการใช้น้ำมันละหุ่งทาบริเวณหน้าท้องและประคบด้วยถุงน้ำร้อน การทำ Castor Oil Pack จะช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์เพราะช่วยเสริมสร้างสุขภาพมดลูก สร้างสุขภาพที่ดีให้รังไข่ กระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดให้ดีขึ้น รวมถึงระบบเหลืองและระบบฮอร์โมนที่ดีขึ้น ช่วยดีท๊อกซ์มสารเคมีตกค้างในร่างกายจากการใช้ฮอร์โมนมากเกินไป
7.ทานวิตามินบำรุงเตรียมตั้งครรภ์
การรับประทานอาหารในแต่ละวัน อาจจะได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับเตรียมตั้งครรภ์ไม่ครบถ้วน ดังนั้นการทานวิตามินบำรุงสามารถช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนได้ แต่ก่อนที่จะทานวิตามินบำรุงควรปรึกษาแพทย์ก่อนทาน หรือเลือกวิตามินและอาหารเสริมที่ได้รับการรับรองจาก อย. มีแหล่งที่มาที่ตรวจสอบได้เท่านั้นโดยครูก้อยแนะนำวิตามินOvaAllมีครบทั้งโฟลิก Fish oil Q10 วิตามินและแร่ธาตุรวมซึ่งเหมาะสำหรับสตรีเตรียมตั้งครรภ์ โดยสามารถศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับวิตามินเตรียมตั้งครรภ์สำหรับผู้หญิงท้องยากได้ที่เพจหรือเว็บไซต์www.BabyAndMom.co.th
8.การเตรียมพร้อมทางด้านอารมณ์ พักผ่อนให้เพียงพอไม่เครียด
ความกังวลและไม่มีเวลาผ่อนคลายจากความเครียดส่งผลให้มีอาการนอนไม่หลับนอนน้อยส่งผลให้เกิดความเครียดสะสมเมื่อเครียดฮอร์โมนความเครียดหรือที่เรียกว่า “คอร์ติซอล” จะถูกหลั่งออกมามากเกินไปและรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศทำให้ฮอร์โมนเพศผิดเพี้ยนแปรปรวนความเครียดจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์มีน้อยลง เพราะเมื่อร่างกายเกิดภาวะเครียด การทำงานของฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายโดยเฉพาะฮอร์โมนที่เกี่ยวกับระบบเจริญพันธุ์ทำงานผิดปกติ จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Current Sleep Medicine Report เมื่อปี 2016 ศึกษาพบว่าทั้งในผู้หญิงและผู้ชายสมองส่วนที่ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เราหลับหรือตื่นเช่นฮอร์โมนเมลาโทนินและคอติซอลเป็นสมองส่วนที่กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเพศด้วยเช่นกัน
9.การเตรียมพร้อมเยื่อบุโพรงมดลูกด้วยกระบวนการแพทย์ก่อนย้ายตัวอ่อน
หลังจากเตรียมความพร้อมทั้งด้านโภชนการและการบำบัดมดลูกมาดีแล้วสามารถนัดปรึกษาแพทย์์ในวันที่ 2-3 ของรอบเดือนเพื่อประเมินโพรงมดลูกและวางแผนการเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งจะมี 2 แบบได้แก่
แบบรอบธรรมชาติ
การเตรียมผนังมดลูกในรอบธรรมชาติไม่มีการใช้ยาฮอร์โมนจากภายนอกโดยการอาศัยฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) จากรังไข่ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในร่างกาย ซึ่งหากมีฮอร์โมนที่สมดุลและรอบตกไข่ปกติและบำรุงมาดีร่างกายจะผลิตฮอร์โมนกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตามธรรมชาติเพื่อเตรียมพร้อมรอรับการฝังตัว โดยแพทย์จะนัดอัลตร้าซาวด์เป็นระยะๆตามอาการผลราว 10 วันเพื่อวิเคราะห์ผนังมดลูก ดังนี้ 1.ผนังมดลูกหนาตามเกณฑ์ 8-10 มิลลิเมตร(ไม่ควรหนาเกิน 14 มิลลิเมตร) 2. เรียงสามชั้นเป็น (Triple Line) 3.ใสเป็นวุ้นเห็นเส้นกลางชัดเจน
แบบการใช้ยาฮอร์โมน
เป็นการใช้ยาฮอร์โมนเอสโตรเจน(Estrogen)จากภายนอกกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวในกรณีที่เยื่อบุโพรงมดลูกยังไม่เหมาะสมต่อการย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูกแพทย์จะปรับขนาดยาฮอร์โมนแล้วนัดมาติดตามอาการอีกครั้ง
กรณีที่เยื่อบุโพรงมดลูกเหมาะสมแก่การย้ายตัวอ่อนแล้ว แพทย์จะให้ยารับประทานและยาสำหรับสอดทางช่องคลอด เพื่อเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกก่อนถึงวันที่ย้ายตัวอ่อน 5 วันหลังจากนั้นแพทย์จะนัดวันและเวลาในการย้ายตัวอ่อนอีกครั้ง
10.การเตรียมตัว ณ วันย้ายตัวอ่อน (EmbryoTransfer )
ก่อนย้ายตัวอ่อนแพทย์จะให้ดื่มน้ำและกลั้นปัสสาวะประมาณ 1ชั่วโมง ก่อนถึงเวลาย้ายตัวอ่อนและทำการอัลตร้าซาวด์บริเวณหน้าท้องเพื่อหาตำแหน่งที่เหมาะสมในการฝังตัวอ่อนและย้ายตัวอ่อนวางในตำแหน่งที่แพทย์กำหนดไว้หลังใส่ตัวอ่อนแพทย์จะสอดยาเข้าทางช่องคลอดและให้นอนพักประมาน 60 นาทีพอครบเวลาแล้วให้ค่อยๆลุก แนะนำให้นอนตะแคงและใช้ศอกค้ำยันให้ค่อยๆลุกขึ้นนั่งห้ามเกร็งหน้าท้อง เดินอย่างระมัดระวังและรับยาพยุงการตั้งครรภ์ก่อนกลับมาพักผ่อนที่บ้านหลังจากนั้นแพทย์จะนัดเจาะเลือดตรวจการตั้งครรภ์ในวันที่ 10 หลังการย้ายตัวอ่อน
อย่างไรก็ตามการเตรียมผนังมดลูกให้พร้อมไม่ควรรอพึ่งกระบวนทางการแพทย์อย่างเดียวเพราะโอกาสความสำเร็จขึ้นอยู่กับวัตถุดิบตั้งต้นของแต่ละคนดังนั้นการเตรียมความพร้อมทั้งทางร่างกายและระบบเจริญพันธุ์ให้สมบูรณ์ก่อนเข้าสู่กระบวนแพทย์เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดเพราะเมื่อมีวัตถุดิบตั้งต้นดีโอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ก็จะมีสูงตามมา” ครูก้อยนัชชากล่าวสรุป.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี