หอนาฬิกาอาคารเก่า แลนมาร์คของเมือง
ในการประกาศคัดเลือก ชุมชนต้นแบบของการเที่ยวชุมชนยลวิถี ของกระทรวงวัฒนธรรมในปี พ.ศ.๒๕๖๕ นี้ ชุมชนเมืองเก่าภูเก็ตเป็นหนึ่งในจำนวน ๑๐ แห่ง ที่ได้รับการยกย่อง อาทิตย์นี้ได้ตามรอยสยามไปสืบค้นหาต้นทุนของภูมิบ้านภูมิเมืองเก่าที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานพบว่ามีความน่าสนใจมากกว่าการเป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่รู้จักกันทั่วไป เมืองภูเก็ตแห่งนี้เป็นเมืองที่อุดมด้วยทรัพยากรแร่ธาตุโดยเฉพาะแร่ดีบุกซึ่งมีจำนวนมาก จนทำให้ยุคสมัยที่หลายประเทศต้องการแร่ดีบุกไปใช้ในอุตสาหกรรม ได้พากันเดินทางเรือเข้ามาจนมีชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวตะวันตกมาร่วมลงทุนทำเหมืองแร่ที่ภูเก็ต โดยมีแรงงานเป็นชาวจีนซึ่งภายหลังนั้นแรงงานชาวจีนกลุ่มนี้ได้เจริญเติบโตจนกลายเป็นพ่อค้าและนายเหมืองในที่สุด การอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีกิจการอุตสาหกรรมเหมืองแร่และมีความต่างในวัฒนธรรมระหว่างจีน อินเดีย ไทย
ชาวพื้นเมืองและชาวตะวันตกนั้นได้สร้างอัตลักษณ์ของตนจากการหลอมรวมพหุวัฒนธรรมโดยอัตโนมัติ จนทำให้ภูเก็ตนั้นมีความโดดเด่นของการสร้างวัฒนธรรมร่วม ดังปรากฏรูปแบบของการสร้างอาคารบ้านเรือนในชุมชนเมืองยุคแรกที่รับเอาอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมของชาวจีนและชาวตะวันตก ครั้งแรกเรียกว่า สถาปัตยกรรมแบบ “ชิโน-โปรตุกีส” ตั้งชื่อขึ้นตามความเข้าใจแต่เดิมว่า อาคารต่างๆ นั้นเป็นสถาปัตย์แบบจีนผสมกับศิลปะของชาวโปรตุเกส ผู้เป็นนักเดินเรือที่เดินทางเข้ามาค้าขายทางทะเลในเกาะภูเก็ตแห่งนี้ ภายหลังเมื่อพบว่ามีการนำศิลปแบบตะวันตกมาจากทวีปยุโรปหลายชาติ จึงเปลี่ยนมาเรียกเป็นสถาปัตยกรรมแบบ“ชิโน-ยุโรเปี้ยน” อาคารเหล่านี้เป็นอาคารที่นิยมสร้างในเมืองภูเก็ต เมืองปีนัง และเมืองมะละกาของมาเลเซีย
ชุดแต่งกายพื้นเมืองของภูเก็ต
สำหรับอาคารเก่าในเมืองภูเก็ตสร้างขึ้นตามโครงสร้างและฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ประกอบการ มี ๓ ลักษณะ ได้แก่ อาคารสาธารณะเป็นอาคารตึกก่ออิฐถือปูนผนังหนา และมีลวดลายประดับสวยงาม เช่น ศาลากลางจังหวัดภูเก็ตพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว ส่วนใหญ่เป็นอาคารราชการสมาคม โรงเรียน และบริษัทเอกชน เป็นต้น คฤหาสน์ เรียกว่า อังมอเหลา เป็นอาคารเดี่ยวที่เรียกว่าตึกฝรั่ง สร้าง ๒ ชั้น ขนาดใหญ่ผนังก่ออิฐฉาบปูนหนา มีเสาอิงตกแต่งลวดลายปูนปั้นตามแบบศิลปะยุโรป แต่มีประตูหน้าต่างไม้ตกแต่งภายในด้วยลายฉลุเป็นศิลปแบบจีนเช่นเดียวกับอาคารตึกแถว มีการจัดช่องหน้าต่างทำให้มีความกลมกลืนกับอาคารเป็นอย่างดีที่ยังเหลืออยู่ เช่น คฤหาสน์หรือบ้านของพระพิทักษ์ชินประชา บ้านหลวงอำนาจนรารักษ์เป็นต้น อาคารหรือตึกแถว เรียกว่า เตี้ยมฉู่เป็นตึกแถวที่แต่ละห้องนั้นมีกำแพงกั้นด้านหน้าเป็นซุ้มโค้งให้มีช่องทางสำหรับเดินต่อเนื่องไปถึงอาคารหลังอื่นได้ตลอดแถว เพื่อเป็นที่กันแดดกันฝนให้แก่ผู้คนที่สัญจรไป-มาเรียกว่า หง่อคาขี่ หรือ อาเขต อาคารแถวนี้ส่วนใหญ่มีหลังคาทรงสูง มุงด้วยกระเบื้องดินเผามีร่องมุมแหลมรอบตัววี ประตูหน้าต่างชั้นล่างทำด้วยไม้ตกแต่งด้วยลวดลายแบบจีนส่วนชั้นบนมักเป็นบานหน้าต่างขนาดใหญ่๒-๓ ช่องยาวถึงพื้นห้อง เช่น อาคารแถวบริเวณถนนถลาง ถนนดีบุกและซอยรมณีย์ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนกั้นเฉพาะห้องไปแล้วสำหรับจุดที่เป็นแลนด์มาร์คของชุมชนเมืองเก่านั้น อยู่ที่อาคารหอนาฬิกาและอาคารชิโน-ยุโรเปี้ยนต่างๆ ที่ถูกจัดเป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ของเมืองภูเก็ต พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทหัว บ้านชินประชา นอกจากนี้ ยังมี ศาลเจ้าแสงธรรม ของชาวจีนฮกเกี้ยน และอาคารเก่าในย่านการค้าขาย ที่ถือเป็นแหล่งเศรษฐกิจสำคัญที่มีอายุมากกว่า ๑๗๐ ปี โดยมี กลุ่มชาติพันธุ์บาบ๋า สืบทอดภาษาและประเพณี “วิวาห์บาบ๋าภูเก็ต”, “ประเพณีกินผัก” ที่รักษาเป็นวัฒนธรรมของตนอย่างมั่นคง โดยผ่านอาหารพื้นถิ่น เช่นผัดหมี่ฮกเกี้ยน ขนมอังกู๊ ขนมโอเอ๋ว ผ่านงานฝีมือของผ้าปาเต๊ะปักมุก ผ้าบาติก ผ้ามัดย้อมผ้าซาโนติก และเครื่องประดับ ซึ่งสร้างความโดดเด่นในชุดแต่งกายของสาวภูเก็ต หรือยาหยา ของชาวบาบ๋า...ผู้สร้างวัฒนธรรมหนึ่งเดียวของเมืองท่องเที่ยวน่ายลแห่งนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี