หน้าร้อนในบ้านเมืองของเราสามารถทำให้เกิดความร้อนที่ร้อนจัดมาก แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นฤดูกาลแห่งผลไม้แสนอร่อยที่ออกมาให้กินกันไม่หวาดไม่ไหว มีให้เลือกกินได้ไม่ซ้ำกันทั้งเจ็ดวันเลย ทั้ง มะม่วงสารพัดชนิด มะยงชิด ทุเรียน เงาะ มังคุด ลิ้นจี่ ทั้งนี้ยังไม่นับรวมผลไม้ที่มีให้กินตลอดปีตลอดชาติ เช่น สับปะรด มะละกอ แตงโม กล้วย ขนุน เป็นต้น
แค่ผลไม้สดๆ ก็แสนอร่อยแล้ว ยังผนวกกับภูมิปัญญาของคนไทยเข้าไปอีก ก็ยิ่งเพิ่มความอร่อยให้กับผลไม้มากยิ่งขึ้นอย่าลืมว่าคนไทยมีความเป็นอัจฉริยะด้านอาหารการกินสูงมากสามารถดัดแปลงให้ผลไม้สามารถกินคู่กับของอื่นๆ ได้อย่างลงตัว เช่น มะม่วงกับน้ำปลาหวาน ข้าวเหนียวมูนกับมะม่วงสุกข้าวเหนียวทุเรียน เงาะลอยแก้ว ทั้งหมดทั้งมวลนี้ช่วยยกระดับความหวานชื่นใจชวนให้กินตลอดเวลา
แต่มีคนกลุ่มหนึ่งที่น่าเป็นห่วงเพราะผลไม้ในช่วงหน้าร้อน คือกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน โรคเบาหวานจัดเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคเรื้อรังที่คนไทยเป็นกันมากกว่าสามล้านราย
แม้จะป่วยด้วยโรคเบาหวาน แต่หากสามารถควบคุมโรคเบาหวานได้ก็ยังไม่น่าเป็นห่วงมากนัก แต่หากควบคุมไม่ได้ จะเป็นสาเหตุของโรคอื่นๆ ตามมาอีกหลายโรค อาทิ ไตวาย หลอดเลือดหัวใจตีบ อัมพฤกษ์ อัมพาตจากปัญหาหลอดเลือดสมอง เป็นต้น
การควบคุมอาหารเป็นหัวใจของการรักษาระดับน้ำตาลในเลือด หากน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติก็รอดตัวไป แต่หากคุมไม่ได้ ก็จะมีปัญหาใหญ่ตามมาเรื่องการคุมน้ำตาลเป็นเรื่องที่คนไข้เบาหวานทุกคนรู้ดี แต่บางคนก็คุมสำเร็จ บางรายก็ไม่สำเร็จ
ดังนั้นจึงขอพูดเรื่องการคุมการรับประทานผลไม้รสหวานจัดๆ ในช่วงหน้าร้อน ซึ่งบอกว่าเป็นเรื่องที่คุมได้ยากมากการห้ามรับประทานผลไม้รสชาติแสนอร่อยในช่วงหน้าร้อน ถือเป็นความใจร้ายอย่างหนึ่งสำหรับผู้รักรสชาติแสนอร่อยของผลไม้ไทย โดยเฉพาะผลไม้ที่มีให้กินปีละครั้ง แต่การที่คนเป็นเบาหวานจะกินผลไม้ ก็จำเป็นต้องระมัดระวังไว้ด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้อย่างดี เวลาไปตรวจตามนัดแล้วค่าน้ำตาลช่วงอดอาหารยังสูงเกินเกณฑ์ หรือมีค่าน้ำตาลสะสมสูงเกินเกณฑ์ หรือเป็น
คนไข้ที่ต้องฉีดอินซูลินทุกวัน คนกลุ่มนี้จะรับประทานกับผลไม้ได้ แต่ก็ยังมีข้อแลกเปลี่ยนคือ ต้องลดข้าวหรืออาหารหมวดคาร์โบไฮเดรตลงให้พอเหมาะ เพื่อเว้นพื้นที่ไว้ให้ผลไม้ที่อยากจะกินในบางวัน เช่น หากอยากกินทุเรียน 1 เม็ด (เน้นว่าเม็ดเล็กๆ) ก็อาจจะต้องลดข้าวลงสัก 1 ทัพพี เป็นต้น หรืออาจต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องอาหารแลกเปลี่ยน เช่น ข้าว 1 ทัพพี หรือ 1 ส่วน เทียบได้กับผลไม้ชนิดใด ในปริมาณมากเท่าใด เพื่อจะได้วางแผนแลกเปลี่ยนกันให้เหมาะสม ตัวอย่างของผลไม้ 1 ส่วน ก็คือ ทุเรียน 1 เม็ดเล็ก กล้วยน้ำว้า 1 ผล ลำไย 5-6 ผล มังคุด 4 ผล เป็นต้น
จะเห็นว่าปริมาณผลไม้ที่คนไข้เบาหวานกินได้ มักจะเป็นปริมาณแบบที่เรียกว่า “พอหอมปากหอมคอ” กินพอหายอยากหายคิดถึง ไม่ใช่กินทุเรียนทีละครึ่งลูก หรือส้มทีละหนึ่งกิโลกรัม ถ้าขืนกินในปริมาณแบบนั้น ต่อให้เป็นคนสุขภาพดีแต่ถ้าทำบ่อยๆ ก็ไม่น่าจะเป็นผลดีเช่นกัน
คนไข้เบาหวานที่มีเครื่องเจาะน้ำตาลในเลือด อาจจะสามารถติดตามค่าน้ำตาลในเลือดของตัวเองได้หลังจากรับประทานผลไม้โปรด ถ้าค่าน้ำตาลระหว่างมื้ออาหารเกินจาก 130 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ก็ต้องตระหนักว่ามื้อที่แล้วอาจจะรับประทานอาหารกลุ่มที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้มากเกินไปแล้วต้องไปปรับลดในมื้อต่อๆ ไปลง
ทั้งนี้ผู้ป่วยไม่ควรปรับยาเองโดยเด็ดขาด เช่น รับประทานของหวานเยอะๆ แล้วไปเพิ่มยาลดน้ำตาลในเลือดเอง เพราะเวลาที่แพทย์ปรับยาแต่ละครั้ง ต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย นอกจากเรื่องน้ำตาลในเลือดแล้ว ยังดูเรื่องการทำงานของตับ ไต หรือโรคร่วมอื่นๆ ของคนไข้ด้วย การที่คนไข้ปรับเพิ่มยาเองอาจส่งผลเสีย เช่น ทำให้เกิดอาการข้างเคียงของยา หรืออาจทำให้น้ำตาลต่ำเกินไปที่เรียกว่า ไฮโปไกลซีเมีย ได้
อีกประเด็นหนึ่งถ้าเลือกได้ ควรรับประทานผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ เช่น ฝรั่ง แก้วมังกร แอปเปิ้ล แตงโม มะละกอ สับปะรด เป็นต้น
โดยสรุป คนไข้เบาหวานสามารถกินผลไม้ได้ แต่การกินให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ จะต้องกินโดยมีความรู้เกี่ยวกับอาหารแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ ต้องรับประทานยา
ตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ไม่ปรับเปลี่ยนขนาดยาเองและหากมีเครื่องตรวจน้ำตาลในเลือด ก็ควรตรวจวัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้ทราบว่าระดับน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่
รศ.ภญ.ดร.ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และผศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี