เช้าวันหนึ่งต้นปี 2023 คัง ฮยุน จู ครูโรงเรียนประถมในเกาหลีใต้ วัย 29 ปี ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการอัมพาตไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อีกเลย แพทย์สั่งให้เธอต้องลางานอย่างน้อย 6 เดือน โดยชี้ว่า เธอมีความเสี่ยงที่จะอาการทรุดหนัก หากไม่พักผ่อน
และนั่นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “อาการทางจิต” ของครูคัง
ย้อนกลับไปในปี 2019 สองปีหลังจากที่เธอเริ่มอาชีพครู มีการสู้กันครั้งใหญ่ของเด็กๆในห้องที่เธอสอน และเหตุการณ์นั้นให้เธอเริ่มฝันร้าย ฝันว่าเธอออกมายืนที่สี่แยก และมีคนมาฟันแขนของเธอ
ครูคัง เป็นหนึ่งในครูชาวเกาหลีใต้ในจำนวนร้อยละ 26.6 จากกว่า 11,000 คน ที่ทำการสำรวจจากสหภาพครู เมื่อเดือนเมษายน ที่พบว่า ต้องเข้ารับการรักษาด้านสุขภาพจิต หรือเข้ารับคำปรึกษาทางจิต ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตัวจุดชนวนให้ผู้คนหันมาสนใจเรื่องสุขภาพจิตของครูประถมชาวเกาหลีใต้ มีขึ้น หลังจากที่มีข่าวการฆ่าตัวตาย ของครูสาววัย 23 ปี จากโรงเรียนประถมศึกษา Seoi ในกังนัม เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมาหลังจากที่เธอต้องเผชิญกับความทุกข์และทรมาน จากการถูกกลั่นแกล้ง และถูกกดดันมานานหลายเดือน จากผู้ปกครองของเด็กนักเรียน
จากนั้นเพียงไม่กี่วัน มีเหตุการณ์ครูประถมฆ่าตัวตายอีก 2 เหตุการณ์ ซึ่งทั้งสองได้เขียนจดหมายเอาไว้ว่า พวกเขาไม่สามารถรับมือกับแรงกดดันจากเสียงบ่นของผู้ปกครองได้อีกต่อไป
ข้อมูลจากรัฐบาลเกาหลีใต้พบว่า ครูในโรงเรียนรัฐราว 100 คน ได้คร่าชีวิตตัวเองในระหว่างปี 2018-เดือนมิถุนายน2023 โดยมีมากถึง 11 คน ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้
จิตแพทย์คิม ฮยุน-ซู จากสมาคมจิตเวชแห่งเกาหลีใต้ กล่าวในระหว่างการประท้วงของครูชาวเกาหลีใต้เมื่อวันจันทร์ (4 กันยายน) ว่า “นี่เป็นสถานการณ์ที่วิกฤตอย่างมาก ที่โรงเรียนในเกาหลีใต้กำลังเผชิญ” และเขาเคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า “มันเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่จะต้องจัดตั้งกลไกในการสนับสนุนครู และปกป้องพวกเขาจากการถูกล่วงละเมิดและทารุณ” สมาคมจิตเวชเกาหลีใต้ เตือนว่าการเพิ่มขึ้นของความรุนแรงต่อทั้งร่างกายและจิตใจต่อครู จากบรรดาผู้ปกครองและเด็กนักเรียนในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น “อาจทำให้ระบบการศึกษาของประเทศเสี่ยงที่จะล่มสลายลงหากเรายังคงตระหนักถึงเพียงแค่สิทธิของเด็ก โดยเพิกเฉยต่อสิทธิและภาระผูกพันของผู้เป็นครู”
ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของปัญหานี้คือ “กฎหมายว่าด้วยสวัสดิภาพเด็ก” ที่ประกาศใช้เมื่อปี 2014 ที่ระบุกว้างๆ ว่า “การทำร้ายสุขภาพ หรือสวัสดิภาพเด็ก หรือการกระทำความรุนแรงต่อร่างกาย จิตใจ หรือทางเพศ หรือการกระทำโดยโหดร้าย”ถือเป็นการล่วงละเมิดเด็ก ซึ่งครูที่ถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดต่อเด็ก ไม่ว่าจะทางใด จะถูกพักการสอนในทันที และความผิดนั้นมีโทษตามกฎหมาย
จากกฎหมายนี้เอง ทำให้ครูไม่สามารถควบคุมเด็กนักเรียนได้เนื่องจากการลงโทษเข้าข่ายการทำร้ายร่างกายตามกฎหมายสวัสดิภาพเด็ก โดยกรณีร้ายแรงที่สุด คือ ครูถูกเด็กๆ ทำร้ายในห้องเรียนของพวกเขาเอง เพราะพวกครูไม่สามารถที่จะตอบโต้ หรือปกป้องตัวเองได้เลยและเมื่อครูแจ้งผู้ปกครอง ผู้ปกครองบางคนบอกว่า “ในเมื่อพวกคุณได้รับเงินจากการสอนเด็กๆ ก็จงสอนไป”
หนึ่งในเรื่องราวที่เลวร้าย ที่กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ คือ มีผู้ปกครองรายหนึ่งที่เคยรับใช้ในกองทัพ ได้ปรากฏตัวในโรงเรียนพร้อมกับขวานในมือ พร้อมขู่ว่า “จะทำให้เลือดโชก” หลังจากที่ลูกชายชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถูกลงโทษ กรณีการข่มขู่เพื่อนร่วมชั้นด้วยมีดคัตเตอร์ ทำให้นักเรียนทั้งชั้นวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงด้วยความหวาดกลัว
ครูวอน จียัง ซึ่งมีประสบการณ์สอนหนังสือมา 26 ปี บอกว่า ผู้ปกครองที่ข่มเหงครู เป็นเรื่องเลวร้ายอย่างยิ่ง เพื่อนร่วมงานของเธอ ถูกผู้ปกครองกล่าวหาว่าล่วงละเมิดเด็ก ซึ่งผู้ปกครองเอาผิดครูด้วยการแอบอัดคลิป และตัดต่อคลิปเสียงเพื่อให้ครูเป็นฝ่ายผิด ซึ่งกว่าจะพ้นผิดต้องกินเวลานานกว่า 2 ปีครึ่ง ใช้เงินไปไม่น้อยกับการสู้ในชั้นศาล และนั่นส่งผลอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพจิตของคนที่เป็นครู
สัปดาห์ที่ผ่านมา จึงมีการประท้วงครั้งใหญ่ของบุคลากรครูทั่วเกาหลีใต้ เพื่อเรียกร้องสวัสดิภาพในการทำงานที่ดีขึ้น เพื่อให้ปลอดภัยกับทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต แต่ ลี จูโฮ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีศึกษาธิการเกาหลีใต้ กลับยิ่งกระพือความไม่พอใจของครูมากขึ้นไปอีก เมื่อเขากล่าวขู่ไว้ก่อนหน้านี้ว่า การนัดหยุดงานเพื่อประท้วง “ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ”
อย่างไรก็ดี เสียงของครูหลายหมื่นคนที่ออกมาเมื่อวันจันทร์ที่แล้ว ทำให้รัฐมนตรีศึกษาธิการ ต้องยอมรับในเสียงเรียกร้องของครู และให้คำมั่นว่าจะฟื้นฟูอำนาจที่เสียไปของครู เพราะได้เรียนรู้แล้ว ว่าบาดแผลที่ใหญ่และลึกของครูที่ต้องทนทุกข์ทรมานนั้นรุนแรงเพียงใดและจะพิจารณาการปฏิรูประบบการศึกษาอย่างจริงจัง รวมถึงการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยสวัสดิภาพเด็กที่เป็นปัญหา ตลอดจนการจะพิจารณาเรื่องสิทธิของครูทุกๆ 5 ปีด้วย
เพราะเรื่องราวที่ครูชาวเกาหลีใต้ต้องเผชิญ อาจนำมาซึ่งการลาออกของครูที่มากขึ้น ที่จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อวงการการศึกษาในประเทศที่มีการแข่งขันสูง และการบูลลี่สูงแห่งนี้
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี